กลอยใจ
โดย
รุจิเรข อภิรมย์
.......................
จากฤดีแด่เธอดวงใจฉัน
แม้มีกรรมจำพรากเราจากกัน
แม้มีกรรมจำพรากเราจากกัน
แต่ตัวฉันนั้นยังรักภักดีเธอ
แดดยามเย็นในเดือนเมษายนอ่อนลงมากแล้ว ไอร้อนเริ่มผ่อนคลาย
ผู้คนที่มาออกกำลังกายบริเวณสนามศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา พลุกพล่าน
หนาตา
คนยะลาเห็นคุณค่าของการออกกำลังกาย
สนามกีฬาและศูนย์ออกกำลังกายทุกแห่งจะมีผู้คนทุกเพศทุกวัยและทุกศาสนา มาร่วมออกกำลังกายกันคับคั่งทั้งเช้า-เย็น
ชายหญิงคู่หนึ่ง สูงวัย
แต่ยังดูกระฉับกระเฉง
โดยเฉพาะฝ่ายหญิงแม้อายุจะเลยเจ็ดสิบปีไปแล้ว แต่หน้าตาก็ยังดูอิ่มเอิบสวยงามไม่เหมือนคนสูงอายุทั่วไป เขาและเธอเดินรวมกลุ่มไปกับคนอื่น ๆ ที่มาออกกำลังกาย
แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะสนใจอยู่กับเรื่องราวที่กำลังพูดคุยกัน
“จากปี พ.ศ. 2500 มาถึงวันนี้ เป็นเวลาห้าสิบสี่ปีเชียวนะ กว่าเราจะได้มาพบกันอีก” ฝ่ายชายทบทวนกาลเวลาที่ล่วงเลยไป “นานเหลือเกิน นานจนผมคิดว่าเราคงไม่มีโอกาสได้พบกันอีก เพราะที่ผ่านมา เหมือนตกอยู่ในบ่วงกรรม ทั้งคนที่ผมรัก คนที่เป็นคู่ชีวิตของผม คนที่ใกล้ชิดผม ต่างหนีหายตายจากผมไปหมด”
ฝ่ายหญิงซึ่งมีรูปร่างเตี้ยกว่า ช้อนสายตาขึ้นมามองหน้าฝ่ายชายนิดหนึ่ง แล้วกลับมองตรงไปข้างหน้า พูดกึ่งน้อยใจ
“กิ่งก็คิดว่าเราคงไม่ได้พบกันอีก
หลังจากได้พบกันครั้งสุดท้าย
เมื่อรุจมาฝึกงานในสถาบันที่กิ่งเรียนอยู่
แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นการพบเพื่อจากกันไปตลอดชีวิต เพราะหลังจากนั้น รุจเงียบหายเหมือนตายจากกิ่งไปแล้ว”
ปลายคำของเธอแผ่ว...เครือ จนรุจสะเทือนใจ เขาจับปลายนิ้วของเธอบีบเบา ๆ
“ผมไม่เคยลืมกิ่ง”
เสียงพูดแม้จะเบาแต่หนักแน่น “จำได้ว่าตอนปลายเดือนธันวาคมของปีที่ผมไปฝึกงานในสถาบันที่กิ่งกำลังเรียนอยู่ คืนหนึ่ง
ผมไปหากิ่งยังที่ที่เราเคยพบกัน
แต่พอเห็นหน้าผมกิ่งก็เอาแต่ร้องไห้
ถามอะไรก็ไม่ยอมพูดจา
ไม่ยอมให้เหตุผล จนผมอ่อนใจ กลับบ้านไปโดยไม่รู้สาเหตุอะไรเลย”
วัยรุ่นสี่ห้าคนวิ่งจับกลุ่มแซงขึ้นไปเบื้องหน้าคนทั้งสอง รุจชำเลืองมองนิดหนึ่ง คิดในใจ
ชีวิตคนเหมือนการกีฬา
แต่ละวันต้องอยู่กับการแข่งขัน
ทั้งกับตนเองและกับคนอื่น ๆ
เพื่อที่จะไปให้ถึงจุดหมายปลายทางซึ่งตนต้องการ แพ้บ้างชนะบ้างคละเคล้ากันไป
รุจหันมามองกิ่งกมล เธอยังคงสนใจที่จะฟังเรื่องราวของเขา รุจจึงรื้อฟื้นอดีตต่อไป “ผมเครียดอยู่หลายวัน
พยายามติดต่อกับกิ่งตั้งหลายครั้งก็ไม่เป็นผล ประกอบกับผมต้อง เตรียมสรุปงานก่อนกลับไปสอบชิงทุนเรียนต่อที่กรุงเทพ มุมานะกับการเรียน สำเร็จแล้วก็ออกมาทุ่มเทชีวิตอยู่กับงาน
มีเวลาสืบหาข้อมูลความเป็นอยู่ของกิ่งน้อยมาก จนไม่ทราบเลยจริง ๆ ว่ากิ่งไปอยู่ที่ไหน กับใคร
ประกอบอาชีพอะไร”
มือที่จับปลายนิ้วของเธอ
บีบกระชับ “กระทั่ง
... วันนี้, เหมือนฝัน ดีใจจนไม่รู้จะสรรหาคำใดมากล่าว ที่มีโอกาสได้พบกิ่ง และกิ่งยอมพูดคุยกับผม ถามจริง ๆ เถอะ วันนั้น ...โกรธผมเรื่องอะไร”
เขาย้ำด้วยประโยคเดิมที่เคยถามเธอเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน
“ไม่ได้โกรธ” กิ่งกมลเน้นเสียง ตวัดสายตามองรุจ แล้วระบายความรู้สึกในอดีตให้เขาฟัง “คืนนั้น, กิ่งเสียใจมากที่รุจไม่ยอมบอกความจริงกับกิ่งเรื่องพี่กลอยใจ
เธอเขียนจดหมายมาขอร้องกิ่งให้หลีกทางให้เธอ เธอบอกว่าเธอใกล้ชิดกับรุจมานาน นานจนรู้สึกว่าเธอไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ ถ้าไม่มีรุจ
มีเหตุผลมากมายที่เธอพยายามอธิบายให้กิ่งเข้าใจแล้วสรุปว่ากิ่งอายุยังน้อย มีโอกาสเลือกคนที่ถูกใจได้อีกมาก ขอให้กิ่งหลีกทางให้เธอด้วย กิ่งสงสาร
จึงยอม ...”
เมฆก้อนหนึ่งลอยมาบังดวงอาทิตย์ซึ่งคล้อยต่ำลงไปทางขอบฟ้าตะวันตก ทำให้บรรยากาศบริเวณศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลาหม่นหมองชั่วขณะ
มือของฝ่ายชายที่จับปลายนิ้วฝ่ายหญิง มีอาการสั่นเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ ปล่อยวางปลายนิ้วเรียวงามนั้นเป็นอิสระจากการเกาะกุม สีหน้าของรุจเริ่มเผือดซีด คิดไม่ถึงว่า
ครั้งหนึ่ง เมื่อคุณครูกลอยใจตัดสินใจที่จะรักใคร
เธอจะรักอย่างทุ่มเทจริงจังถึงเพียงนี้
“แดงฝากความหวังไว้กับผมมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ
?” รำพึงเบา ๆ เหมือนจะฝากเสียงนั้นไปกับสายลมยามใกล้พลบ
ถึงคนซึ่งอยู่แสนไกล เท้าของคนทั้งสองก้าวย่างช้าลง ผู้คนที่มาออกกำลังกายเริ่มทยอยกลับบ้านบ้างแล้ว ความมืดกำลังโรยตัวคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ
อารมณ์ของรุจเตลิดหลุดไปอยู่กับอดีตจนไม่ได้ยินคำถามของกิ่งกมล
“ทำไมรุจไม่ชวนพี่แดงมาออกกำลังกายด้วยคะ
?”
ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีจากครามอมเทามาเป็นมัวหม่นใกล้มืดมิดเหมือนชีวิตคนเราที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสิ่งแวดล้อม
แม้ทุกอย่างจะผ่านไปแล้วแสนนาน
แต่ภาพและเรื่องราวในอดีตยังคงผุดขึ้นมาในมโนคำนึงชัดเจน รุจยังไม่เคยลืมเธอ
... กลอยใจ ตระกูลพาณิชย์ ... คนในหมู่บ้านเรียกขานเธอว่า...แดง
!,
กลอยใจหรือแดงมีผิวขาวเนียน
ใบหน้างามอิ่มเอิบนวลใย
ดวงตาสดใสชวนลุ่มหลง
หลายครั้งที่อยู่ใกล้เธอ
รุจอดมิได้ที่จะจ้องมองไม่วางตา
เย็นวันหนึ่ง บริเวณห้องโถงในบ้านของเธอ รุจว่างจากภารกิจประจำวันจึงมาหาเธอด้วยความคิดถึง
แดงนั่งสอยกระดุมเสื้ออยู่ข้างจักรเย็บผ้าริมหน้าต่าง ขณะสนทนากันตามสบาย รุจนั่งพินิจใบหน้าอมเลือดฝาดที่งดงามราวจิตรกรขั้นเทพบรรจงรังสรรค์ให้มีชีวิตชีวานั้น ไปด้วย
“มองอยู่ได้” กลอยใจทำเสียงเหมือนดุ แต่พวงแก้มมีสีชมพูระเรื่อดุจกลีบกุหลาบแรกแย้ม
“สวยเหลือเกิน อยากเก็บภาพนี้เอาไว้ในใจ” รุจบอกจากใจจริง จ้องมองเหมือนกลัวภาพนั้นจะเลือนหายไป
“แสดงว่ารุจเป็นคนหลงรูป”
ตาจ้องสบตารุจอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “ระวังตัวไว้นะ โลกใบนี้มีรูปที่ดึงดูดใจอยู่มากมาย รุจอาจหลงตามไปจนกู่ไม่กลับ”
“ผมรักแดงเพียงคนเดียว”
ยืนยันและสบสายตาเธอไม่ละวาง “ถึงโลกใบนี้จะมีคนรูปงามดึงดูดใจอยู่มากมาย
หัวใจผมอาจหวั่นไหวไปบ้างตามธรรมดาของปุถุชน แต่ผมก็รักแดงเพียงคนเดียว ไม่ว่ากาลเวลาจะล่วงเลยไปนานแสนนานเพียงใด” น้ำเสียงหนักแน่น ตราตรึง
“อย่ามั่นใจนัก โลกมีแต่ความไม่แน่นอน หัวใจคนเปลี่ยนแปลงได้ วันนี้รักพรุ่งนี้อาจลืม โดยเฉพาะคนหลงรูปอย่างรุจ” เน้นคำท่อนท้าย ก่อนจะเดินไปเอาแก้วน้ำส้มคั้นที่แช่เย็นอยู่ในกระติกน้ำแข็งออกมาสองแก้ว ส่งให้รุจหนึ่งแก้ว “แดงคั้นเผื่อรุจ ขอให้รุจรับรู้ว่าแดงรักและใส่ใจรุจมากเพียงใด รุจต้องรู้จักฝึกใจให้มั่นคง อย่าวอกแวกไปกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ไม่ง่ายนักที่รุจจะทำอย่างที่แดงบอก แต่ถ้ารุจตั้งใจทำ แดงมั่นใจว่ารุจฝึกได้ ทำได้” เธอยื่นมือมากุมมือรุจไว้ “มิใช่ว่าแดงไม่ไว้วางใจรุจ จงจำเอาไว้
แดงมีรุจเพียงคนเดียว
แดงต้องการเป็นคู่ชีวิตของรุจ
เรารู้จักคุ้นเคยกันมาตั้งแต่วัยเด็ก
วิ่งเล่นด้วยกัน ช่วยเหลือกันมาตลอด
รู้จักและเข้าใจกันดี
ไม่มีใครเหมาะสมกับรุจเท่ากับแดง
และไม่มีใครเหมาะสมกับแดงเท่ากับรุจ”
รุจอยากกอดเธอไว้ในวงแขน ปลอบขวัญให้เธอหายกังวล แต่มโนธรรมที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่ทำอะไรให้เกินเลยกับผู้หญิงที่ยังมิได้แต่งงานกัน ทำให้รุจได้แต่มองจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเธอ สายตาสองคู่ประสานกันสนิท อดมิได้ที่รุจจะคิดไปถึงคืนวันก่อน ๆ
แดงมิใช่หรือที่คอยเป็นกำลังใจให้รุจมุ่งมั่นเรียนหนังสือ คอยตัดเย็บเสื้อผ้าสวย ๆ
ให้รุจสวมใส่เทียมหน้าเทียมตาเพื่อนฝูง
“จงจำเอาไว้ แดงมีรุจเพียงคนเดียว แดงต้องการเป็นคู่ชีวิตของรุจ”
น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของแดง
ผุดพุ่งเข้ามาในจิตสำนึกของรุจอีกครั้ง
แม้จะเป็นเวลาหลังจากวันนั้นมาแล้วถึงห้าสิบสี่ปี ... มิใช่, มันยังก้องอยู่ในหูทุกครั้งที่รุจอยู่คนเดียว และคิดถึงเธอ
เมื่อกิ่งกมลเล่าเหตุผลที่เธอจำต้องสละรุจเพื่อหลีกทางให้กับแดง จึงทำให้รุจรู้สึกปวดแปลบในดวงใจ ยิ่งถูกตอกย้ำด้วยคำถามเดิมจากกิ่งกมล ทำให้เขาเกือบทรงตัวไม่อยู่
“ทำไมรุจไม่ชวนพี่แดงมาออกกำลังกายด้วยคะ
?” ช่างเป็นคำถามที่เหมือนคมศรพุ่งเข้าเสียบแทงใจ รุจรู้สึกเจ็บจนเกินจะบอกใครได้ หลุดคำพูดออกมา แผ่ว ...เครือ ...
“ไม่มีแดงอีกแล้ว !”
“ทำไมคะ ?” กิ่งกมลละล่ำละลัก ตาเบิกกว้าง ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เหตุผล “หลังจากพี่แดงแต่งงานกับรุจได้กี่ปีคะ
?”
“ผมมิได้แต่งงานกับแดง” ริมฝีปากของรุจสั่นระริก เสียงที่หลุดออกมาจากปากของเขาแผ่วเบาจนกิ่งกมลแทบไม่ได้ยิน “ถ้าความใฝ่ฝันของทุกคนเป็นจริงได้ทุกเรื่อง คงไม่มีคนปวดร้าวจากความผิดหวัง แม้แต่แดงก็เช่นเดียวกัน ...” คำพูดของรุจขาดหายไปชั่วครู่
กลิ่นหอมของดอกไม้กลางคืนล่องลอยมากับสายลมบางเบา รุจรู้สึกเหมือนกามนิตกำลังสูดดมกลิ่นดอกปาริชาติในสรวงสวรรค์แล้วระลึกชาติได้ เขาพึมพำคล้ายคนละเมอ “ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องบุพเพสันนิวาสก็ตาม แต่ผมเชื่อ ...” ถ้ามีแสงมากพอ
จะเห็นใบหน้ารุจเคร่งเครียด เขาเริ่มลำดับเหตุการณ์แต่หนหลังให้กิ่งกมลรับฟัง
“หลังจากผมสอบชิงทุนได้ไปเรียนต่อที่กรุงเทพ แม้จะมีเงินไม่มากนัก แต่แดงก็คอยเป็นกำลังใจ เหนือสิ่งอื่นใด เธอพยายามเจียดรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ
ที่พอมีอยู่บ้างส่งไปช่วยเหลือผมทุกเดือน ... พยายามเรียนให้สำเร็จ เพื่ออนาคตอันมั่นคงของครอบครัวเรา ... เธอบอก, และเมื่อผมจบการศึกษากลับมารับราชการ เธอก็ยังคอยห่วงใย เตือนสติให้ผมรู้จักมัธยัสถ์ ด้วยความหวัง...
สักวันหนึ่งเราจะได้เข้าพิธีแต่งงานกัน
ครอบครัวเราจะได้มีความสุข !
แม้ความฝันของแดงจะบรรเจิดเพียงใด แต่พรหมลิขิตก็มิได้ปราณีเรา เรื่องที่ไม่น่าจะเกิดและไม่น่าจะเป็นไปได้ก็อุบัติขึ้น
คืนหนึ่ง
ผมฝันว่าขณะที่ผมช่วยแดงทำกับข้าวโดยนั่งขูดมะพร้าวอยู่ที่ชานเรือนหน้าห้องครัวของบ้านเธอ มีกินรีนางหนึ่งถลาลงมาโฉบเอาผมไป ผมตกใจตื่น
จำใบหน้าและรูปร่างของกินรีนางนั้นได้ชัดเจนแต่มิได้สนใจ เพราะรู้ว่ามิใช่ความจริง
ช่วงเวลานั้นผมกำลังมีไฟแรง อุดมการณ์สูง
ทุ่มเทชีวิตอยู่กับงานจนห่างเหินคุณครูกลอยใจที่รับราชการอยู่ต่างอำเภอ แต่เธอก็มิได้ตัดพ้อต่อว่าอย่างใด เธอไว้วางใจผม
มั่นใจว่าผมไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่น
กระทั่งวันหนึ่ง, เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หน่วยงานที่ผมรับผิดชอบมีการบรรจุแต่งตั้งผู้หญิงคนหนึ่งมาเป็นเจ้าหน้าที่ รูปร่างหน้าตาดี ขยันทำงาน
มีความรับผิดชอบสูง ฉลาด ไหวพริบดี
ช่วยแก้ปัญหาให้ผมได้ทุกเรื่อง
ที่สำคัญ
เธอมีรูปร่างหน้าตาคล้ายนางกินรีที่ถลาลงมาโฉบผมในความฝัน เราทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดจนกลายเป็นความผูกพันที่ยากจะแยกออกจากกันได้ ในที่สุดก็ตัดสินใจจะแต่งงานกัน” กรามของรุจขบกันจนเห็นแก้มโปนชัดเจนเมื่อจะเล่าต่อไป “ผมนำเรื่องนี้ไปบอกให้แดงทราบ แทนที่จะโวยวายตัดพ้อต่อว่าต่อขาน เธอกลับสงบนิ่งไปพักใหญ่ แล้วกล่าวเพียงสั้น ๆ “คิดดีแล้วหรือ ?”
“แต่ผมก็ยังรักแดงอยู่” ผมย้ำคำพูดที่เคยบอกเธอ
น้ำตาเท่านั้นที่ร่วงลงมาจากเบ้าตาทั้งสองของแดง สองสามหยด
แล้วขาดหายไป !
ฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว จากมัวหม่นมาเป็นดำมืด
มีแต่แสงไฟฟ้าที่เทศบาลนครยะลาจัดไว้บริการประชาชนเท่านั้น ที่ให้ความสว่างที่นั่นที่นี่ รุจไม่กล้าหันหน้ามามองกิ่งกมล ได้แต่เล่าเรื่องย้อนอดีตต่อไปด้วยน้ำเสียงปร่า
... เศร้า เสียดแทรกไปกับสายลมหวีดหวิว น้ำตาคลอเมื่อบอกว่า “หลังจากนั้นไม่นาน แดงผ่ายผอมผิดแผกไปจากเดิม คืนหนึ่ง
ผมฝันเห็นเธอร้องไห้ปิ่มน้ำตาจะเป็นสายเลือด เธอถอดแหวนจากนิ้วนางข้างซ้ายออกมาคืนให้ผมพร้อมเสียงสะอื้นแล้วเดินจากไป ผมตื่นขึ้นมาด้วยใจเต้นระทึก วันรุ่งขึ้นขณะช่วยภรรยาซักผ้า ผมได้กลิ่นศพโชยมาจึงถามภรรยาว่าเธอได้กลิ่นเช่นเดียว
กับผมหรือเปล่า เธอพยักหน้า พอช่วงสายญาติมาบอกว่าแดงเสียชีวิต มีไข้สูง
อาจเนื่องจากความตรอมตรม
ร่างกายอ่อนแอ ขาดภูมิต้านทานจนล้มป่วย
ก่อนตาย
แดงบันทึกข้อความสั้น ๆ สอดไว้ใต้หมอน
ไม่มีใครรู้ว่าเธอเขียนเมื่อใด ?
และเขียนทำไม ?
ญาติคนหนึ่งของเธอเป็นผู้พบขณะเคลื่อนย้ายร่างปราศจากวิญญาณไปเตรียมการเข้าสู่พิธีรดน้ำศพ,
เป็นปัจฉิมลิขิตที่เธอนอนหนุนจนถึงวาระสุดท้ายของลมหายใจ “รุจเป็นคนหลงรูปจึงไม่รู้คุณค่าของจิตใจ”
แสงไฟ แม้จะไม่เจิดจ้าเหมือนแสงอาทิตย์ตอนกลางวันแต่ก็พอสังเกตสีหน้าของกิ่งกมลได้ จากที่เคยยิ้มละไม รื่นเริง
บัดนี้เศร้าสร้อย ผิดหวัง ถ้าสามารถมองเข้าไปได้ใกล้ชิด จะเห็นน้ำใส ๆ หล่อปริ่มทั้งสองเบ้าตา
รุจและกิ่งกมลเดินเลี้ยวลัดเข้าไปนั่งบนม้าหินข้างลู่วิ่งออกกำลังกาย
กิ่งกมลเสียงเครือ เมื่อพึมพัมตัดพ้อ “เสียดายเวลาและโอกาสที่กิ่งอุตส่าห์สละให้กับพี่แดง แต่รุจกลับทำลายมันจนหมดสิ้น”
“ผมผิดเอง
ผิดที่ประเมินค่าความรักของคุณครูกลอยใจต่ำไป ถ้าผมมีใจมั่นคง ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งแวดล้อมผมคงได้แต่งงานกับเธอ แต่นั่นแหละโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน
เราต้องอยู่กับมันอย่างรู้เท่าทันจึงจะไม่เกิดทุกข์” สุดท้ายรุจพูดเหมือนปลอบใจตนเอง
ผ้าเช็ดหน้าที่กิ่งกมลดึงจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาซับน้ำตาแม้จะไม่ถึงกับชุ่มโชกแต่ก็บอกได้ถึงความสะเทือนใจ
พยายามควบคุมความรู้สึกแล้วพูดตามที่เคยได้ยินได้ฟังมา “อดจะนึกไปถึงคำสอนของพระพุทธองค์มิได้ ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ยึดมั่นอยู่กับสิ่งใดมากย่อมมีทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ มุ่งหวังสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์” พูดพลางมองไปข้างหน้าด้วยใจที่เหม่อลอย
“สามีคุณมิได้มาด้วยหรือ ?” รุจถามเบา ๆ
“เขาตายแล้ว ด้วยโรคมะเร็ง
เมื่อหลายปีก่อน”
“ภรรยาของผมก็ตายแล้วเช่นกัน เธอเป็นพาร์กินสัน หลับแล้วไม่ยอมตื่น” รุจบอก
บรรยากาศทั่วบริเวณนั้นค่อนข้างเงียบ ผู้คนที่มาออกกำลังกายมีเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน แม้จะยังไม่ดึกนัก
แต่สถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนใต้ไม่เอื้ออำนวย ยามค่ำคืน
ทุกคนต้องรีบกลับเข้าบ้าน
รุจลุกขึ้นยืน
ยื่นมือให้กิ่งกมลจับ ค่อย ๆ
ดึงให้ทรงตัวอย่างทะนุถนอม
“กลับบ้านเถอะ ผมไปส่งเอง
ดึกแล้วกลัวจะไม่ปลอดภัย”