วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

กลอยใจ

กลอยใจ
โดย
รุจิเรข  อภิรมย์
.......................


อันเรื่องสั้นฉันสร้างอย่างเรื่องนี้
จากฤดีแด่เธอดวงใจฉัน
แม้มีกรรมจำพรากเราจากกัน
แต่ตัวฉันนั้นยังรักภักดีเธอ

         แดดยามเย็นในเดือนเมษายนอ่อนลงมากแล้ว  ไอร้อนเริ่มผ่อนคลาย  
ผู้คนที่มาออกกำลังกายบริเวณสนามศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา  พลุกพล่าน  หนาตา  คนยะลาเห็นคุณค่าของการออกกำลังกาย  สนามกีฬาและศูนย์ออกกำลังกายทุกแห่งจะมีผู้คนทุกเพศทุกวัยและทุกศาสนา  มาร่วมออกกำลังกายกันคับคั่งทั้งเช้า-เย็น
         ชายหญิงคู่หนึ่ง  สูงวัย  แต่ยังดูกระฉับกระเฉง  โดยเฉพาะฝ่ายหญิงแม้อายุจะเลยเจ็ดสิบปีไปแล้ว  แต่หน้าตาก็ยังดูอิ่มเอิบสวยงามไม่เหมือนคนสูงอายุทั่วไป  เขาและเธอเดินรวมกลุ่มไปกับคนอื่น ๆ ที่มาออกกำลังกาย  แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะสนใจอยู่กับเรื่องราวที่กำลังพูดคุยกัน
         จากปี พ.ศ. 2500  มาถึงวันนี้  เป็นเวลาห้าสิบสี่ปีเชียวนะ  กว่าเราจะได้มาพบกันอีก  ฝ่ายชายทบทวนกาลเวลาที่ล่วงเลยไป  นานเหลือเกิน  นานจนผมคิดว่าเราคงไม่มีโอกาสได้พบกันอีก  เพราะที่ผ่านมา  เหมือนตกอยู่ในบ่วงกรรม  ทั้งคนที่ผมรัก  คนที่เป็นคู่ชีวิตของผม  คนที่ใกล้ชิดผม  ต่างหนีหายตายจากผมไปหมด
         ฝ่ายหญิงซึ่งมีรูปร่างเตี้ยกว่า  ช้อนสายตาขึ้นมามองหน้าฝ่ายชายนิดหนึ่ง  แล้วกลับมองตรงไปข้างหน้า  พูดกึ่งน้อยใจ  กิ่งก็คิดว่าเราคงไม่ได้พบกันอีก  หลังจากได้พบกันครั้งสุดท้าย  เมื่อรุจมาฝึกงานในสถาบันที่กิ่งเรียนอยู่  แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นการพบเพื่อจากกันไปตลอดชีวิต  เพราะหลังจากนั้น  รุจเงียบหายเหมือนตายจากกิ่งไปแล้ว
         ปลายคำของเธอแผ่ว...เครือ  จนรุจสะเทือนใจ  เขาจับปลายนิ้วของเธอบีบเบา ๆ
         ผมไม่เคยลืมกิ่ง  เสียงพูดแม้จะเบาแต่หนักแน่น  จำได้ว่าตอนปลายเดือนธันวาคมของปีที่ผมไปฝึกงานในสถาบันที่กิ่งกำลังเรียนอยู่  คืนหนึ่ง  ผมไปหากิ่งยังที่ที่เราเคยพบกัน  แต่พอเห็นหน้าผมกิ่งก็เอาแต่ร้องไห้  ถามอะไรก็ไม่ยอมพูดจา  ไม่ยอมให้เหตุผล  จนผมอ่อนใจ  กลับบ้านไปโดยไม่รู้สาเหตุอะไรเลย
         วัยรุ่นสี่ห้าคนวิ่งจับกลุ่มแซงขึ้นไปเบื้องหน้าคนทั้งสอง  รุจชำเลืองมองนิดหนึ่ง  คิดในใจ  ชีวิตคนเหมือนการกีฬา  แต่ละวันต้องอยู่กับการแข่งขัน  ทั้งกับตนเองและกับคนอื่น ๆ  เพื่อที่จะไปให้ถึงจุดหมายปลายทางซึ่งตนต้องการ  แพ้บ้างชนะบ้างคละเคล้ากันไป 
         รุจหันมามองกิ่งกมล  เธอยังคงสนใจที่จะฟังเรื่องราวของเขา  รุจจึงรื้อฟื้นอดีตต่อไป ผมเครียดอยู่หลายวัน  พยายามติดต่อกับกิ่งตั้งหลายครั้งก็ไม่เป็นผล      ประกอบกับผมต้อง เตรียมสรุปงานก่อนกลับไปสอบชิงทุนเรียนต่อที่กรุงเทพ  มุมานะกับการเรียน  สำเร็จแล้วก็ออกมาทุ่มเทชีวิตอยู่กับงาน  มีเวลาสืบหาข้อมูลความเป็นอยู่ของกิ่งน้อยมาก  จนไม่ทราบเลยจริง ๆ ว่ากิ่งไปอยู่ที่ไหน  กับใคร  ประกอบอาชีพอะไร  มือที่จับปลายนิ้วของเธอ  บีบกระชับ  กระทั่ง ... วันนี้,  เหมือนฝัน  ดีใจจนไม่รู้จะสรรหาคำใดมากล่าว  ที่มีโอกาสได้พบกิ่ง  และกิ่งยอมพูดคุยกับผม  ถามจริง ๆ เถอะ  วันนั้น ...โกรธผมเรื่องอะไร  เขาย้ำด้วยประโยคเดิมที่เคยถามเธอเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน
         ไม่ได้โกรธ  กิ่งกมลเน้นเสียง  ตวัดสายตามองรุจ  แล้วระบายความรู้สึกในอดีตให้เขาฟัง  คืนนั้น,  กิ่งเสียใจมากที่รุจไม่ยอมบอกความจริงกับกิ่งเรื่องพี่กลอยใจ  เธอเขียนจดหมายมาขอร้องกิ่งให้หลีกทางให้เธอ  เธอบอกว่าเธอใกล้ชิดกับรุจมานาน  นานจนรู้สึกว่าเธอไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้  ถ้าไม่มีรุจ  มีเหตุผลมากมายที่เธอพยายามอธิบายให้กิ่งเข้าใจแล้วสรุปว่ากิ่งอายุยังน้อย  มีโอกาสเลือกคนที่ถูกใจได้อีกมาก  ขอให้กิ่งหลีกทางให้เธอด้วย  กิ่งสงสาร  จึงยอม ...

         เมฆก้อนหนึ่งลอยมาบังดวงอาทิตย์ซึ่งคล้อยต่ำลงไปทางขอบฟ้าตะวันตก  ทำให้บรรยากาศบริเวณศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลาหม่นหมองชั่วขณะ  
         มือของฝ่ายชายที่จับปลายนิ้วฝ่ายหญิง  มีอาการสั่นเล็กน้อย  แล้วค่อย ๆ ปล่อยวางปลายนิ้วเรียวงามนั้นเป็นอิสระจากการเกาะกุม  สีหน้าของรุจเริ่มเผือดซีด  คิดไม่ถึงว่า  ครั้งหนึ่ง  เมื่อคุณครูกลอยใจตัดสินใจที่จะรักใคร เธอจะรักอย่างทุ่มเทจริงจังถึงเพียงนี้ 
         แดงฝากความหวังไว้กับผมมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?  รำพึงเบา ๆ เหมือนจะฝากเสียงนั้นไปกับสายลมยามใกล้พลบ  ถึงคนซึ่งอยู่แสนไกล  เท้าของคนทั้งสองก้าวย่างช้าลง  ผู้คนที่มาออกกำลังกายเริ่มทยอยกลับบ้านบ้างแล้ว  ความมืดกำลังโรยตัวคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ  อารมณ์ของรุจเตลิดหลุดไปอยู่กับอดีตจนไม่ได้ยินคำถามของกิ่งกมล
         ทำไมรุจไม่ชวนพี่แดงมาออกกำลังกายด้วยคะ ?

         ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีจากครามอมเทามาเป็นมัวหม่นใกล้มืดมิดเหมือนชีวิตคนเราที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสิ่งแวดล้อม 
         แม้ทุอย่างจะผ่านไปแล้วแสนนาน  แต่ภาพและเรื่องราวในอดีตยังคงผุดขึ้นมาในมโนคำนึงชัดเจน รุจยังไม่เคยลืมเธอ ... กลอยใจ  ตระกูลพาณิชย์ ... คนในหมู่บ้านเรียกขานเธอว่า...แดง !,      กลอยใจหรือแดงมีผิวขาวเนียน  ใบหน้างามอิ่มเอิบนวลใย  ดวงตาสดใสชวนลุ่มหลง  หลายครั้งที่อยู่ใกล้เธอ  รุจอดมิได้ที่จะจ้องมองไม่วางตา
         เย็นวันหนึ่ง  บริเวณห้องโถงในบ้านของเธอ  รุจว่างจากภารกิจประจำวันจึงมาหาเธอด้วยความคิดถึง  แดงนั่งสอยกระดุมเสื้ออยู่ข้างจักรเย็บผ้าริมหน้าต่าง  ขณะสนทนากันตามสบาย  รุจนั่งพินิจใบหน้าอมเลือดฝาดที่งดงามราวจิตรกรขั้นเทพบรรจงรังสรรค์ให้มีชีวิตชีวานั้น  ไปด้วย
         มองอยู่ได้  กลอยใจทำเสียงเหมือนดุ  แต่พวงแก้มมีสีชมพูระเรื่อดุจกลีบกุหลาบแรกแย้ม
         สวยเหลือเกิน  อยากเก็บภาพนี้เอาไว้ในใจ”  รุจบอกจากใจจริง  จ้องมองเหมือนกลัวภาพนั้นจะเลือนหายไป
         แสดงว่ารุจเป็นคนหลงรูป  ตาจ้องสบตารุจอย่างไม่ค่อยมั่นใจ  ระวังตัวไว้นะ โลกใบนี้มีรูปที่ดึงดูดใจอยู่มากมาย  รุจอาจหลงตามไปจนกู่ไม่กลับ
         ผมรักแดงเพียงคนเดียว  ยืนยันและสบสายตาเธอไม่ละวาง  ถึงโลกใบนี้จะมีคนรูปงามดึงดูดใจอยู่มากมาย  หัวใจผมอาจหวั่นไหวไปบ้างตามธรรมดาของปุถุชน  แต่ผมก็รักแดงเพียงคนเดียว  ไม่ว่ากาลเวลาจะล่วงเลยไปนานแสนนานเพียงใด น้ำเสียงหนักแน่น  ตราตรึง   
         อย่ามั่นใจนัก  โลกมีแต่ความไม่แน่นอน  หัวใจคนเปลี่ยนแปลงได้  วันนี้รักพรุ่งนี้อาจลืม  โดยเฉพาะคนหลงรูปอย่างรุจ  เน้นคำท่อนท้าย  ก่อนจะเดินไปเอาแก้วน้ำส้มคั้นที่แช่เย็นอยู่ในกระติกน้ำแข็งออกมาสองแก้ว  ส่งให้รุจหนึ่งแก้ว  แดงคั้นเผื่อรุจ  ขอให้รุจรับรู้ว่าแดงรักและใส่ใจรุจมากเพียงใด  รุจต้องรู้จักฝึกใจให้มั่นคง  อย่าวอกแวกไปกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง  ไม่ง่ายนักที่รุจจะทำอย่างที่แดงบอก  แต่ถ้ารุจตั้งใจทำ  แดงมั่นใจว่ารุจฝึกได้  ทำได้  เธอยื่นมือมากุมมือรุจไว้  มิใช่ว่าแดงไม่ไว้วางใจรุจ  จงจำเอาไว้  แดงมีรุจเพียงคนเดียว  แดงต้องการเป็นคู่ชีวิตของรุจ  เรารู้จักคุ้นเคยกันมาตั้งแต่วัยเด็ก  วิ่งเล่นด้วยกัน  ช่วยเหลือกันมาตลอด  รู้จักและเข้าใจกันดี  ไม่มีใครเหมาะสมกับรุจเท่ากับแดง  และไม่มีใครเหมาะสมกับแดงเท่ากับรุจ
         รุจอยากกอดเธอไว้ในวงแขน  ปลอบขวัญให้เธอหายกังวล  แต่มโนธรรมที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่ทำอะไรให้เกินเลยกับผู้หญิงที่ยังมิได้แต่งงานกัน  ทำให้รุจได้แต่มองจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเธอ  สายตาสองคู่ประสานกันสนิท  อดมิได้ที่รุจจะคิดไปถึงคืนวันก่อน ๆ แดงมิใช่หรือที่คอยเป็นกำลังใจให้รุจมุ่งมั่นเรียนหนังสือ  คอยตัดเย็บเสื้อผ้าสวย ๆ ให้รุจสวมใส่เทียมหน้าเทียมตาเพื่อนฝูง 

      จงจำเอาไว้  แดงมีรุจเพียงคนเดียว  แดงต้องการเป็นคู่ชีวิตของรุจ  น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของแดง  ผุดพุ่งเข้ามาในจิตสำนึกของรุจอีกครั้ง  แม้จะเป็นเวลาหลังจากวันนั้นมาแล้วถึงห้าสิบสี่ปี ... มิใช่,  มันยังก้องอยู่ในหูทุกครั้งที่รุจอยู่คนเดียว  และคิดถึงเธอ 
         เมื่อกิ่งกมลเล่าเหตุผลที่เธอจำต้องสละรุจเพื่อหลีกทางให้กับแดง  จึงทำให้รุจรู้สึกปวดแปลบในดวงใจ  ยิ่งถูกตอกย้ำด้วยคำถามเดิมจากกิ่งกมล  ทำให้เขาเกือบทรงตัวไม่อยู่
         ทำไมรุจไม่ชวนพี่แดงมาออกกำลังกายด้วยคะ ?   ช่างเป็นคำถามที่เหมือนคมศรพุ่งเข้าเสียบแทงใจ  รุจรู้สึกเจ็บจนเกินจะบอกใครได้  หลุดคำพูดออกมา  แผ่ว ...เครือ ...
         ไม่มีแดงอีกแล้ว !
         “ทำไมคะ ?  กิ่งกมลละล่ำละลัก  ตาเบิกกว้าง ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เหตุผล  หลังจากพี่แดงแต่งงานกับรุจได้กี่ปีคะ ?
         ผมมิได้แต่งงานกับแดง  ริมฝีปากของรุจสั่นระริก  เสียงที่หลุดออกมาจากปากของเขาแผ่วเบาจนกิ่งกมลแทบไม่ได้ยิน  ถ้าความใฝ่ฝันของทุกคนเป็นจริงได้ทุกเรื่อง  คงไม่มีคนปวดร้าวจากความผิดหวัง  แม้แต่แดงก็เช่นเดียวกัน ...  คำพูดของรุจขาดหายไปชั่วครู่  กลิ่นหอมของดอกไม้กลางคืนล่องลอยมากับสายลมบางเบา  รุจรู้สึกเหมือนกามนิตกำลังสูดดมกลิ่นดอกปาริชาติในสรวงสวรรค์แล้วระลึกชาติได้  เขาพึมพำคล้ายคนละเมอ  ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องบุพเพสันนิวาสก็ตาม  แต่ผมเชื่อ ...  ถ้ามีแสงมากพอ  จะเห็นใบหน้ารุจเคร่งเครียด  เขาเริ่มลำดับเหตุการณ์แต่หนหลังให้กิ่งกมลรับฟัง 
         “หลังจากผมสอบชิงทุนได้ไปเรียนต่อที่กรุงเทพ  แม้จะมีเงินไม่มากนัก  แต่แดงก็คอยเป็นกำลังใจ  เหนือสิ่งอื่นใด  เธอพยายามเจียดรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอมีอยู่บ้างส่งไปช่วยเหลือผมทุกเดือน ... พยายามเรียนให้สำเร็จ  เพื่ออนาคตอันมั่นคงของครอบครัวเรา ... เธอบอก,  และเมื่อผมจบการศึกษากลับมารับราชการ  เธอก็ยังคอยห่วงใย  เตือนสติให้ผมรู้จักมัธยัสถ์  ด้วยความหวัง... สักวันหนึ่งเราจะได้เข้าพิธีแต่งงานกัน  ครอบครัวเราจะได้มีความสุข !
         แม้ความฝันของแดงจะบรรเจิดเพียงใด  แต่พรหมลิขิตก็มิได้ปราณีเรา   เรื่องที่ไม่น่าจะเกิดและไม่น่าจะเป็นไปได้ก็อุบัติขึ้น

         คืนหนึ่ง  ผมฝันว่าขณะที่ผมช่วยแดงทำกับข้าวโดยนั่งขูดมะพร้าวอยู่ที่ชานเรือนหน้าห้องครัวของบ้านเธอ  มีกินรีนางหนึ่งถลาลงมาโฉบเอาผมไป  ผมตกใจตื่น  จำใบหน้าและรูปร่างของกินรีนางนั้นได้ชัดเจนแต่มิได้สนใจ  เพราะรู้ว่ามิใช่ความจริง
         ช่วงเวลานั้นผมกำลังมีไฟแรง  อุดมการณ์สูง  ทุ่มเทชีวิตอยู่กับงานจนห่างเหินคุณครูกลอยใจที่รับราชการอยู่ต่างอำเภอ  แต่เธอก็มิได้ตัดพ้อต่อว่าอย่างใด  เธอไว้วางใจผม  มั่นใจว่าผมไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่น
         กระทั่งวันหนึ่ง,  เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น  หน่วยงานที่ผมรับผิดชอบมีการบรรจุแต่งตั้งผู้หญิงคนหนึ่งมาเป็นเจ้าหน้าที่  รูปร่างหน้าตาดี  ขยันทำงาน  มีความรับผิดชอบสูง  ฉลาด  ไหวพริบดี  ช่วยแก้ปัญหาให้ผมได้ทุกเรื่อง  ที่สำคัญ  เธอมีรูปร่างหน้าตาคล้ายนางกินรีที่ถลาลงมาโฉบผมในความฝัน  เราทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดจนกลายเป็นความผูกพันที่ยากจะแยกออกจากกันได้  ในที่สุดก็ตัดสินใจจะแต่งงานกัน  กรามของรุจขบกันจนเห็นแก้มโปนชัดเจนเมื่อจะเล่าต่อไป  ผมนำเรื่องนี้ไปบอกให้แดงทราบ  แทนที่จะโวยวายตัดพ้อต่อว่าต่อขาน  เธอกลับสงบนิ่งไปพักใหญ่  แล้วกล่าวเพียงสั้น ๆ  คิดดีแล้วหรือ ?
           แต่ผมก็ยังรักแดงอยู่  ผมย้ำคำพูดที่เคยบอกเธอ
         น้ำตาเท่านั้นที่ร่วงลงมาจากเบ้าตาทั้งสองของแดง  สองสามหยด  แล้วขาดหายไป !

         ฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว  จากมัวหม่นมาเป็นดำมืด  มีแต่แสงไฟฟ้าที่เทศบาลนครยะลาจัดไว้บริการประชาชนเท่านั้น  ที่ให้ความสว่างที่นั่นที่นี่  รุจไม่กล้าหันหน้ามามองกิ่งกมล  ได้แต่เล่าเรื่องย้อนอดีตต่อไปด้วยน้ำเสียงปร่า ... เศร้า  เสียดแทรกไปกับสายลมหวีดหวิว  น้ำตาคลอเมื่อบอกว่า  หลังจากนั้นไม่นาน  แดงผ่ายผอมผิดแผกไปจากเดิม  คืนหนึ่ง  ผมฝันเห็นเธอร้องไห้ปิ่มน้ำตาจะเป็นสายเลือด  เธอถอดแหวนจากนิ้วนางข้างซ้ายออกมาคืนให้ผมพร้อมเสียงสะอื้นแล้วเดินจากไป  ผมตื่นขึ้นมาด้วยใจเต้นระทึก  วันรุ่งขึ้นขณะช่วยภรรยาซักผ้า ผมได้กลิ่นศพโชยมาจึงถามภรรยาว่าเธอได้กลิ่นเช่นเดียว กับผมหรือเปล่า  เธอพยักหน้า  พอช่วงสายญาติมาบอกว่าแดงเสียชีวิต  มีไข้สูง  อาจเนื่องจากความตรอมตรม  ร่างกายอ่อนแอ  ขาดภูมิต้านทานจนล้มป่วย
         ก่อนตาย  แดงบันทึกข้อความสั้น ๆ สอดไว้ใต้หมอน  ไม่มีใครรู้ว่าเธอเขียนเมื่อใด ?  และเขียนทำไม ?  ญาติคนหนึ่งของเธอเป็นผู้พบขณะเคลื่อนย้ายร่างปราศจากวิญญาณไปเตรียมการเข้าสู่พิธีรดน้ำศพ,  เป็นปัจฉิมลิขิตที่เธอนอนหนุนจนถึงวาระสุดท้ายของลมหายใจ           รุจเป็นคนหลงรูปจึงไม่รู้คุณค่าของจิตใจ

         แสงไฟ  แม้จะไม่เจิดจ้าเหมือนแสงอาทิตย์ตอนกลางวันแต่ก็พอสังเกตสีหน้าของกิ่งกมลได้  จากที่เคยยิ้มละไม  รื่นเริง  บัดนี้เศร้าสร้อย  ผิดหวัง  ถ้าสามารถมองเข้าไปได้ใกล้ชิด  จะเห็นน้ำใส ๆ หล่อปริ่มทั้งสองเบ้าตา  
         รุจและกิ่งกมลเดินเลี้ยวลัดเข้าไปนั่งบนม้าหินข้างลู่วิ่งออกกำลังกาย  
         กิ่งกมลเสียงเครือ  เมื่อพึมพัมตัดพ้อ    เสียดายเวลาและโอกาสที่กิ่งอุตส่าห์สละให้กับพี่แดง  แต่รุจกลับทำลายมันจนหมดสิ้น
         ผมผิดเอง  ผิดที่ประเมินค่าความรักของคุณครูกลอยใจต่ำไป  ถ้าผมมีใจมั่นคง  ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งแวดล้อมผมคงได้แต่งงานกับเธอ  แต่นั่นแหละโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน  เราต้องอยู่กับมันอย่างรู้เท่าทันจึงจะไม่เกิดทุกข์  สุดท้ายรุจพูดเหมือนปลอบใจตนเอง
         ผ้าเช็ดหน้าที่กิ่งกมลดึงจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาซับน้ำตาแม้จะไม่ถึงกับชุ่มโชกแต่ก็บอกได้ถึงความสะเทือนใจ  พยายามควบคุมความรู้สึกแล้วพูดตามที่เคยได้ยินได้ฟังมา  อดจะนึกไปถึงคำสอนของพระพุทธองค์มิได้  ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์  ยึดมั่นอยู่กับสิ่งใดมากย่อมมีทุกข์  พลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์  มุ่งหวังสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์”   พูดพลางมองไปข้างหน้าด้วยใจที่เหม่อลอย 
         สามีคุณมิได้มาด้วยหรือ ?  รุจถามเบา ๆ
         เขาตายแล้ว  ด้วยโรคมะเร็ง  เมื่อหลายปีก่อน
         “ภรรยาของผมก็ตายแล้วเช่นกัน  เธอเป็นพาร์กินสัน  หลับแล้วไม่ยอมตื่น  รุจบอก
         บรรยากาศทั่วบริเวณนั้นค่อนข้างเงียบ  ผู้คนที่มาออกกำลังกายมีเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน  แม้จะยังไม่ดึกนัก  แต่สถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนใต้ไม่เอื้ออำนวย  ยามค่ำคืน  ทุกคนต้องรีบกลับเข้าบ้าน  รุจลุกขึ้นยืน  ยื่นมือให้กิ่งกมลจับ  ค่อย ๆ ดึงให้ทรงตัวอย่างทะนุถนอม

         กลับบ้านเถอะ  ผมไปส่งเอง  ดึกแล้วกลัวจะไม่ปลอดภัย
                                                                      

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

คืนหัวใจ

คืนหัวใจ
โดย
รุจิเรข  อภิรมย์
******************************
ก่อนวันจาก

          แดดยามสายเริ่มร้อนจัด  แต่ตรงใต้ร่มเงามะพร้าวเตี้ย ๆ ต้นหนึ่งริมถนนสายใหม่ซึ่งตัดตรงไปยังชายทะเลบางตาวา  อำเภอหนองจิก  จังหวัดปัตตานีนั้น  กว้างพอที่จะขจัดความร้อนลงได้บ้าง  หนุ่มสาวสองคนได้มาพบกันที่นั่น  ฝ่ายชายดึงภาพถ่ายขนาดโปสการ์ดออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้านซ้าย  แล้วสลักลงไปหลังภาพด้วยประโยคที่ส่อถึงอารมณ์ฝันของเจ้าของอย่างเต็มที่
          "สายจ๋า,  ขณะนี้คุณอยู่ที่ไหน  สัญชัยกำลังเพรียกหาคุณอยู่"
          เขาส่งภาพนั้นให้เธอ  สีหน้าหญิงสาวงวยงง  รับภาพนั้นมาดูด้านหน้าแล้วพลิกดูด้านหลัง  ดวงตาเบิกกว้าง  ถามด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
          "ตายจริง  สัญชัย,  ทำไมจึงเขียนอย่างนี้เล่าคะ ?"
          เขาหัวเราะบ้าง  แต่เสียงปร่า-เขิน  จ้องหน้าสายทิพย์เหมือนจะพิมพ์ภาพนั้นไว้ในดวงใจ
          "เพื่อความสัมพันธ์อันแนบแน่นของเรา  และเพื่อการจากที่อาจยาวนานกว่าเราจะได้มาพบกันอีก  หวังว่าข้อความข้างหลังภาพนี้พอจะเตือนสายได้บ้าง"

สัญญาดั่งเสียงลม

          ใบไม้สีน้ำตาลถูกลมเป่าปลิดขั้วจากต้นซึ่งขึ้นอยู่บริเวณนั้นให้ปลิวร่วงลงมาใกล้ ๆ กับที่คนทั้งสองยืนอยู่  สัญชัยก้มลงมองใบไม้ด้วยหัวใจสั่นไหว  ก่อนจะกล่าวเสียงล้าอ่อนแรง
          "ผมลาราชการมาเพื่อพักผ่อน  รักษาตัว  อีกสอง-สามวันก็จะครบกำหนด  ต้องรีบกลับกรุงเทพ  งานที่นั่นกำลังรออยู่"
          ใบหน้าหญิงสาวสลดวูบ  เสียงหลุดลอดมาเหมือนไม่คาดฝันกับเรื่องราวที่รับรู้
          "หรือคะ"  ใจหายวูบ  อดถามมิได้  "แล้วสัญชัยจะกลับมาที่นี่อีกไหม"
          "กลับมาซีครับ"  เขารีบตอบ  "ต้องกลับมาแน่นอน  หัวใจผมอยู่ที่นี่"
          สายตาที่จ้องมองหญิงสาวเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง  สายทิพย์ไม่กล้าสบตาเขาให้เนิ่นนาน  แสร้งมองไปทางนกเล็ก ๆ สองตัวที่คลอเคล้ากันอยู่บนกิ่งไม้ใกล้ ๆ นั้น
          "จะกลับมาเมื่อไหร่คะ ?"  ถามอีกครั้งเหมือนจะคาดคั้น
          สัญชัยลังเล  เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ยากแก่การตัดสินใจ  แต่ในที่สุดก็ให้สัญญา
          "ก่อนสิบสามเมษายน  ผมจะกลับมาเล่นสงกรานต์กับสายที่นี่"  เขาเอื้อมมือไปจับปลายนิ้วของเธอ  บีบเบา ๆ
          "คอยผมนะ"  ตอกย้ำอย่างอาวรณ์
หัวใจสายทิพย์สั่นไหว  หลุดปากออกมาแผ่วเบา
"ค่ะ  สายจะคอย" 



ฝากไว้ด้วย...หัวใจดวงนี้

          ต่างนิ่งเงียบกันไปชั่วขณะ  ได้ยินแม้แต่เสียงลมที่พัดวู่หวิว  นกเล็ก ๆ ระเริงร้องอยู่ในละเมาะไม้ใกล้ ๆ นั้น  ไกลออกไป – บ้านของสายทิพย์ยืนตระหง่านสงบอยู่ท่ามกลางดงมะพร้าว  หลังคาสังกะสีสะท้อนแสงจนนัยน์ตาพร่าพราย
          สัญชัยลดสายตาลงจากสิ่งเหล่านั้น  และเป็นขณะเดียวกับที่หญิงสาวเงยหน้าขึ้น  ตาต่อตาจึงสบกัน  แล้วเขาก็ได้เห็นรอยยิ้มที่บอกถึงความรู้สึกจากส่วนลึกของหัวใจเธอ  สายทิพย์บอกเขาด้วยสำเนียงค่อนข้างเบา
          "สัญชัย  คอยสายอยู่ที่นี่สักครู่นะคะ"  เห็นสัญชัยจ้องมองสงสัย  เธอรีบบอกเหตุผล  "สายจะกลับไปที่บ้าน  ครู่เดียวเท่านั้นค่ะ  แล้วสายจะกลับมาหาสัญชัย"
          "ไปทำไม ?"
          "ธุระบางอย่าง  รอนะคะ  สายไปล่ะ"
          ผละออกไปอย่างรวดเร็ว
          สัญชัยมองตามหลังร่างโปร่งประเปรียวนั้นไปจนลับตา

          มีอะไรหลายอย่างที่น่ารักและมารวมอยู่ในตัวของเพื่อนสาวตาคมดำขลับคนนี้  ยามใดได้พบ – ใกล้ชิดกับเธอ  เขาไม่อยากนึกถึงอดีตอันมีแต่ความเจ็บปวดรวดร้าวและทุกข์ทรมาน  ไม่อยากคิดถึงอนาคตซึ่งมีแต่ความมืดมิดเหมือนถูกกักขังอยู่ในห้องทึบ   สัญชัยอยากมีแต่ปัจจุบันอันเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขสดชื่นเพราะมีสายทิพย์อยู่ใกล้ ๆ
          เขาถอนหายใจ  ทรุดตัวลงนั่งที่โคนมะพร้าว  คอยสายทิพย์ด้วยหัวใจว้าวุ่นสับสน
          สิบนาทีผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า  สายทิพย์จึงกลับมาพร้อมภาพถ่ายขนาดโปสการ์ดใบหนึ่ง
          มือซึ่งถือภาพถ่ายและปากกาสั่นระริก  เอ่ยถามสัญชัยด้วยเสียงเหนื่อยหอบ  ค่อนข้างประหม่า
          "ภาพถ่ายสายเอง  จะมอบให้สัญชัยเป็นที่ระลึก  แต่เขียนสลักข้อความว่าอย่างไรดีคะ"
          สัญชัยมองใบหน้าสีชมพูเปล่งปลั่งเพราะแรงฉีดของโลหิต  อย่างตื่นตลึง  ตอบเสียงเบา
          "เขียนตามที่หัวใจของสายอยากจะบอก"
          เธอก้มหน้า  ใจเต้นระทึก  เม้มริมฝีปากนิ่งงันอยู่ครู่ใหญ่  ในที่สุดก็ตัดสินใจสลักอักษรลงหลังภาพด้วยลายมือเรียบง่ายสวยงาม
          "แด่สัญชัย  มิตรใหม่ที่สายพอใจที่สุดค่ะ"
          เพียงสายทิพย์ยื่นภาพนั้นให้เขา  สัญชัยรีบรับเอามาทาบที่หน้าอกเบื้องซ้ายซึ่งหัวใจกำลังไหวระริก  พร้อมกล่าวช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำจากส่วนลึกของหัวใจ
          "...แม้เพียงภาพซาบซึ้งตรึงใจแล้ว
          ถึงดวงแก้วแววฟ้าค่านับแสน
          มาขอแลกแปลกปลอมไม่ยอมแทน
          จะหวงแหนภาพสายจวบวายปราณ"

          สายทิพย์สีหน้าแดงระเรื่อ  หลบสายตา  สะเทิ้นเอียงอาย
          "อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลย"  บอกพร้อมรอยยิ้มประทับใจ
          "ผมจะรักษาภาพของสายและคำพูดของผมเอาไว้ชั่วชีวิต"
          "ขอบคุณค่ะ  สายก็จะรักษาภาพถ่ายของสัญชัยไว้ให้ดีที่สุดเช่นเดียวกัน"  สัญญาด้วยเสียงสั่นพลิ้ว
          "เท่านั้นหรือ ?"  เขาซัก  นัยน์ตาเป็นประกาย
          "จะไม่ลืมสัญชัย  มิตรใหม่ที่น่ารักของสายด้วยค่ะ"  รอยยิ้มที่ระบายไปทั่วใบหน้า  ดวงตาที่ใสซื่อ  สร้างความประทับใจให้สัญชัยสุดพรรณนา
          "หมดแค่นี้เอง ?"  พยายามจะหยั่งลึกลงไปอีก
          "ค่ะ ... "  เป็นเสียงที่เบา  บาง  และจางหายไปกับสายลม
          "แล้วหัวใจของผมที่ฝากเอาไว้ ..."  น้ำเสียงของสัญชัยเกือบมิได้แตกต่างไปจากน้ำเสียงของสายทิพย์สักเท่าใดนัก  หลุดปากออกไปแล้ว  เขาระลึกได้  สะดุ้ง  ใจหายวาบ  เมื่อรู้สึกตัวว่าได้ทำสิ่งที่ไม่บังควร
          ความเงียบแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณนั้น
          สัญชัยอดมีความหวังมิได้ว่า  สิ่งที่กำลังคุกคามชีวิตเขาอยู่นั้นจะต้องพ่ายแพ้แก่เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่โลกกำลังก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่มีอะไรหยุดยั้งได้  เขาจึงตัดสินใจทำลายความเงียบ
          "หัวใจของผม  ผมมอบให้สายเพียงคนเดียว  ไม่คิดจะเอาคืนมาอีก"  เขาบอกหนักแน่น  เอื้อมมือไปจับมือหญิงสาวมากุมไว้  ทะนุถนอม  "สายกรุณาเก็บมันไว้ให้ดี  ช่วยทะนุถนอมมันด้วยนะ"
          ต่างเงียบเสียงกันไปอีกครั้ง  ทั้ง ๆ ที่หัวใจกำลังเต้นระทึก  โดยเฉพาะสัญชัย  หัวใจเต้นแรงจนน่ากลัว  เขาบีบมือเธอเบา ๆ   สายทิพย์โลหิตฉีดแรง  ร้อนวูบวาบไปทั่วร่าง  เธอค่อย ๆ แกะมือของเขาออก
          "สายจะไม่จากสัญชัยไปที่ไหนอีกค่ะ"  แม้จะไม่ดังนักแต่สัญชัยได้ยินเสียงนั้นชัดเจน  เขาค่อย ๆ ปล่อยให้มือเธอมีอิสระอย่างแสนเสียดาย
          "ขอโทษ  ลืมตัว..."
          "ค่ะ  ลืมตัว ... "  รอยยิ้มที่ระบายทั่วใบหน้าเนียนงามทำให้สัญชัยมองซึ้ง  มีความสุขบอกไม่ถูก
          ความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณนั้นอีกครั้ง  ได้ยินนกเล็ก ๆ ส่งเสียงร้องจิ๊บ ๆ อยู่ที่ชายป่า  สายลมโชยพัดเป็นครั้งคราว  เหมือนจะช่วยหอบเอาความคิดของสองหนุ่มสาวไปรวมกันไว้ ณ ที่เดียวกัน

          สัญชัยมองสายทิพย์ด้วยสายตาเปี่ยมประกายแห่งความรัก  ต่างยิ้มให้กันอย่างเก้อเขิน
          เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้  สีหน้าของสายทิพย์สลดวูบ  พร้อมเสียงพึมพำอ่อนระโหยจนผู้ฟังรู้สึกใจหายตามไปด้วย
          "พรุ่งนี้  สัญชัยต้องเดินทางกลับกรุงเทพ"
          "ครับ  หัวใจผมที่ฝากไว้สายช่วยรักษาให้ดีนะ  เดือนเมษายนผมจะกลับมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง"
          "ค่ะ  สายจะคอย"  สัญญาหนักแน่น  "สัญชัยอย่าลืมสายนะคะ"
         ก่อนจากกันวันนั้น  เขาไม่ลืมกำชับสายทิพย์ด้วยบทกลอนสั้น ๆ ว่า 
                       ...  “รูปและสาส์นวารแนบแอบใต้หมอน 
                       ยามจะนอน นอนด้วย ช่วยกล่อมสาย 
                       ยามหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวอยู่เดียวดาย 
                       ต่างเรือนกายใต้หมอนหนุนเพื่อนคุณมี”
        “คอยผมนะ ที่รัก”  เขากำชับอีกครั้ง  แล้วหันหลังเดินจากที่นั้นไป
         

จนกว่าจะพบกันอีก
          ขบวนรถด่วน สุไหงโก – ลค...กรุงเทพ  ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากสถานีโคกโพธิ์(ปัตตานี)อย่างเชื่องช้า  สายทิพย์ยืนโบกผ้าเช็ดหน้าจนกระทั่งใบหน้าของสัญชัยค่อย ๆ เลือนหายจากสายตา ... ไม่ช้านัก...โบกี้สุดท้ายก็ไม่สามารถมองเห็นได้อีก  คงทิ้งไว้แต่รางเหล็กคู่ขนานยาวเหยียดไปแสนไกลเช่นนั้นดุจวันที่แล้ว ๆ มา
          สายทิพย์มองเหมือนจะตั้งปัญหากับหัวใจเธอ  แต่ก็ไม่อยากคิดอะไรให้มากไปกว่า  เธอเริ่มต้นคอยสัญชัยแล้วตั้งแต่วินาทีแรกที่รถไฟเคลื่อนตัวออกจากสถานีโคกโพธิ์(ปัตตานี)นั่นเอง



คืนหัวใจ
          สายทิพย์พยายามเร่งให้คืนวันผ่านไปโดยรวดเร็ว
          สิ้นเดือนมีนาคม  เธอลุกขึ้นตั้งแต่ตอนเช้าตรู่เพื่อจะดึงปฏิทินแผ่นสุดท้ายซึ่งพิมพ์ตัวเลขบอกเป็นเครื่องหมายเอาไว้ว่า วันที่ ๓๑ มีนาคมนั้นให้หลุดออกไป  ขณะเดียวกันก็มองตัวเลขของเดือนใหม่ด้วยจิตใจระทึก
          วันที่ ๑ เมษายน – เออ  ช่างเป็นวันเริ่มต้นของเดือนที่มีความหมายต่อเธอกระไรเช่นนั้น
          สัญชัยจะกลับมา !
          เธอพึมพัมพูดกับตัวเอง
          ตลอดทั้งวัน  สายทิพย์อดมิได้ที่จะสำรวจดูความบกพร่องของบ้านเรือน   ซึ่งแม้จะได้จัดไว้อย่างดีแล้วก็ตาม  เธอไม่ต้องการให้เขามาเห็นหรือพบกับสิ่งที่ไม่สดชื่นในวันแรกของการได้มาเจอกัน  พร้อมกันนั้นก็คอยเงี่ยหูฟังเสียงเครื่องยนต์ของรถประจำทางที่จะมาหยุดส่งคนโดยสารที่หน้าบ้านของเธอด้วย
          สัญชัยมาตามสัญญา  แต่ ...
          เกือบจะไม่เหลือริ้วรอยใดไว้ให้เห็นว่าเขาเป็นสัญชัยคนเดิม
          เพียงสบภาพของเขาเท่านั้น  สายทิพย์ตกตะลึง  พอได้สติ  เธอผวาเข้าไปกอดเขาแนบแน่น  มิไยว่าเบื้องหลังของสัญชัยจะมีผู้หญิงร่างสะคราญคนหนึ่งก้าวตามมา
          สัญชัยเบือนหน้าออกไปทางหนึ่ง  พยายามผลักดันสายทิพย์ให้ถอยห่างออกไป  แต่สายทิพย์กำลังลืมตัว  กอดแนบแน่นจนสัญชัยมีอาการเหนื่อยหอบ  ออกคำสั่งด้วยเสียงแหบเครือ
          "เพื่อนรัก  ออกห่างจากตัวผมเดี๋ยวนี้"
          "สัญชัย"  หลุดเสียงออกมาอย่างงุนงง  แผ่วเบา
          สายทิพย์เงยหน้ามองดูเขาแล้วผละออกไปอย่างไม่รู้สาเหตุ
          "เราไม่สามารถเป็นของกันและกันได้อีก"   สัญชัยกระเส่าเสียงสั่นพร่า  ออกเดินไปยังอีกมุมหนึ่งของห้อง  นั่งลงบนเก้าอี้นวมโดยอาการโผเผ  ใบหน้าเผือดซีด
          "สัญชัย ... "  สายทิพย์เอ่ยเรียกอีกครั้ง  น้ำตาไหลพราก
          สัญชัยฝืนยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่ง  สายตาเหลือบมองปฏิทิน
          "วันที่หนึ่งเมษายน  ผมมาตามสัญญา  แต่... "  เสียงเขาขาดหายไปอย่างอิดโรย  แสดงความเหน็ดเหนื่อยออกมาให้เห็น  "ที่รัก  เราไม่ควรพบกันเลย"
          ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วยิ่งเผือดลงไปอีก
          "ผมไม่เคยคิดว่าเราจะมาพบเพื่อที่จะพรากไปจากกัน"  สายตาเขาปรายไปทางหญิงสาวที่ติดตามมา  พลางพูดกับสายทิพย์ด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน
          "สายไม่ต้องคอยผม  เราหมดโอกาสที่จะได้แต่งงานกันแล้ว"
          "สัญชัย !"  สายทิพย์อุทาน  มือทาบอก  "หมายความว่า ... "
          "ครับ ... "  สัญชัยรับคำด้วยความปวดร้าวใจ  กรามบดเข้าหากันแน่น  เขาต้องใช้ความอดทนเหลือที่จะกล่าว  เมื่อพูดว่า  "ผมมาเพื่อจะคืนหัวใจ ... "
          สายทิพย์ปล่อยโฮออกมา  สัญชัยเองเกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  เขาเบือนหน้าออกไปอีกทาง  พูดขาดเป็นห้วง ๆ 
          "ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมนี้คือน้องสาวร่วมสายโลหิตของผมเอง  เธอมาเป็นเพื่อนเดินทาง  คอยดูแลผม  เพราะผมเป็นมะเร็งในตับ  ระยะสุดท้าย..." 
          ปลายเสียงของเขาแผ่วเบาและขาดหายไปเพียงเท่านี้



...................................................