มนุษยธรรมเป็นเหตุ
โดย
รุจิเรข อภิรมย์
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
นำเรื่อง
๐ เราอดอยากยากแค้นสุดแสนเข็ญ
แต่พอเห็นคนอื่นอด ...รันทดกว่า
หากใจดำดูดาย...ตายต่อตา
แต่หากมาช่วยเขาเราก็ตาย
๐ ต้องตัดใจในนาทีที่พบเห็น
ว่าอยากเป็นเช่นไรในจุดหมาย
เลือกธัมมะหรืออธรรมค้ำใจกาย
สิ่งสุดท้ายสู้เลือกธรรมนำชีวี
แต่พอเห็นคนอื่นอด ...รันทดกว่า
หากใจดำดูดาย...ตายต่อตา
แต่หากมาช่วยเขาเราก็ตาย
๐ ต้องตัดใจในนาทีที่พบเห็น
ว่าอยากเป็นเช่นไรในจุดหมาย
เลือกธัมมะหรืออธรรมค้ำใจกาย
สิ่งสุดท้ายสู้เลือกธรรมนำชีวี
มือที่ล้วงลงในกระเป๋ากางเกง เปียกชุ่มด้วยหยาดเหงื่อ
"ห้าร้อยบาท"
เทพรำพึงด้วยเสียงสั่นเครือขณะชะลอฝีเท้าจากวิ่งมาเป็นเดิน ระบายลมหายใจแรง ๆ
เพื่อผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อย
เขารู้สึกโล่งใจที่เข้ามาในเขตปลอดภัยแล้ว
"ห้าร้อยบาทกับการเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง
... " เขายังคงพูดต่อไปอีก
แม้คำสุดท้ายจะแผ่วหายไปกับลมหนาวปลายเดือนธันวาคมอันกระจัดกระจายเสียดแทรกผิวเนื้อจนสั่นสะท้าน
เทพหยุดคำพูดเพียงเท่านั้น เท้ายังคงพาเขาเดินดุ่มไปตามตรอกแคบ ๆ
ตรอกหนึ่งใกล้สี่แยกบ้านแขก ย่านธนบุรี ภายในสมองมีแต่ความคิดสับสน
เขาจะใช้เงินห้าร้อยบาทซึ่งวิ่งราวได้มาหยก
ๆ นี้ให้หมดไปกับอะไรดี...เทพคิดอย่างเพลีย ๆ
ก่อนอื่นเขาจะต้องตรงไปที่ตลาดเพื่อซื้อหาอาหารมาบรรจุท้องซึ่งหิวจนรู้สึกแสบ ลำไส้แทบจะกิ่วขาดอยู่มะรอมมะร่อเพราะน้ำย่อยอาหารถูกขับออกมาย่อยแต่กระเพาะเปล่าถึงสองวันติดต่อกันมานี่แล้ว
สองวันที่เทพต้องฝากท้องไว้กับก๊อกน้ำประปา ทั้ง ๆ ที่ข้าวมีขาย แต่เขาไม่มีเงินจะมาซื้อกิน
เทพบดกรามจนนูนเป็นสันเมื่อนึกถึงนายจ้างที่เหี้ยมโหด
นึกถึงค่าแรงงานที่เขาควรจะได้รับแต่กลับถูกคดโกงไปโดยนายพิศ-ผู้เป็นทั้งนายจ้างและหัวหน้าคนงานที่จ้างเขาไว้
นึกถึงภาพที่เขาใช้กำปั้นไม่มีรูฟาดปากของนายจ้าง เมื่อเห็นความไม่เป็นธรรมของมัน จนเขาถูกขับออกจากงาน
เลือดในกายของเขาเดือดคลั่งทั้งที่วันนั้นเป็นวันที่อากาศหนาวที่สุดวันหนึ่ง
ท้องครวญขึ้นมาอีก เหมือนที่เคยร่ำร้องมามากต่อมากแล้วว่า หิว
หิว หิว แต่เขาไม่เคยหาอะไรมาบรรจุกระเพราะเลย ได้แต่ใช้มือสากหนาลูบไล้หน้าท้องไปมา รีบสาวเท้าก้าวพรวดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ...
ร้านอาหารในตลาดมองเห็นอยู่เบื้องหน้า
ทว่า
หัวคิ้วของเทพขมวดเข้าหากันอย่างพิศวงที่เห็นคนมุงดูอยู่เต็มตรงหน้าร้านอาหารที่เขาตั้งใจจะเข้าไปกิน
"หรือจะมีความตายเกิดขึ้น" เขาพูดกับตนเองเบา ๆ
"หรือจะมีความตายเกิดขึ้น" เขาพูดกับตนเองเบา ๆ
เท้าเร็วเท่าความคิด เขาเดินเหมือนวิ่งเข้าไปที่คนกลุ่มนั้น มีเสียงเอะอะเฮฮา เสียงล้งเล้งของชาวจีนสอง-สามคน ผสมกันดังออกมา
"ลงประชาทัณฑ์ ... ฆ่ามัน, เด็กอัปรีย์ อยู่ต่อไปก็รกโลก"
"ลงประชาทัณฑ์ ... ฆ่ามัน, เด็กอัปรีย์ อยู่ต่อไปก็รกโลก"
"อย่า ..." เสียงร้องห้ามจากชายในชุดสากล พร้อมตะโกนบอก
"กฎหมายยังมีอยู่
ตำรวจจะจัดการให้เอง"
"แต่มันไม่มีเงิน, มันทำลายข้าวของฉันเสียหาย"
เจ้าของร้านอาหารร่างอ้วนพูดพลางชี้นิ้วไปที่ตู้ขายอาหารซึ่งมีกระจกบานเลื่อนปิด-เปิดแตก เศษแก้วเกลื่อน
เทพพยายามเบียดตัวเองเข้าไปอยู่กับคนกลุ่มนั้น ทั้ง ๆ ที่ยังเหนื่อยหอบ อ่อนเพลียแทบขาดใจ อดถามคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มิได้ "เกิดอะไรขึ้น"
"เศษมนุษย์คนนี้ซีครับ" ผู้ตอบพยายามที่จะใช้คำให้สุภาพ พร้อมกับชี้ไปที่ร่างเล็ก ๆ ของหนูน้อยวัยสิบห้า-สิบหกปีคนหนึ่งซึ่งนั่งร้องไห้อยู่ในท่ามกลางวงล้อมของไทยมุงเหล่านั้น ในมือพ่อหนูมีไก่ย่างถืออยู่หนึ่งตัว แกแต่งกายด้วยกางเกงที่ขาดกะรุ่งกะริ่ง สกปรก
เพียงตัวเดียวเท่านั้น
ทุกครั้งที่ถอนสะอื้น
จะเห็นซี่โครงไหวพะเยิบพะยาบ
ถ้าดูคนไม่ผิด เทพอยากพูดเหลือเกินว่า...เด็กคนนี้กำลังหมดเรี่ยวหมดแรงที่จะเดินต่อไป
เห็นเทพสนใจภาพเด็กน้อยเบื้องหน้า ชายคนนั้นจึงบอกต่อ "มาจากไหนก็ไม่รู้ เข้าไปขอข้าวของพ่อค้ากิน อ้ายอ้วนไม่ยอมให้ พอเจ้าของเผลอเด็กก็เอาก้อนหินขว้างใส่กระจกแตกยับเยิน แล้วหยิบเอาไก่ไปหนึ่งตัวที่เห็นถืออยู่ในมือนั่นแหละครับ"
เทพพยักหน้า
"แกคงหิว" เขารำพึง
"มันกำลังจะถูกลงประชาทัณฑ์ ไม่มีเงินชดใช้ค่าเสียหาย ดีแต่ชายในชุดสากลคนนั้นมาห้ามไว้" ชายคนเดิมบอกอีก เทพเดินอย่างอ่อนแรงเข้าไปหาเด็กโกโรโกโสคนนั้น
"หนูไปทำลายข้าวของของเขาทำไม
?" เทพถามสุภาพ หนูน้อยเงยหน้าซีดเซียวขึ้นมองเทพ คราบน้ำตายังเกรอะกรัง ตาเศร้า ๆ ของแกบอกให้รู้ว่าเพลียเต็มประดา
"หนูหิว... อดข้าวมาสอง ...
สองวันแล้วครับ" ด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก แผ่วเบา
ขาดเป็นห้วง ๆ หนูน้อยพยายามบอก
"หิวข้าว ... อดข้าวมาสองวันแล้ว !" เทพอุทาน
ใจหายวาบ
เอามือลูบที่ท้องของตนเองอย่างไม่รู้สึกตัว
"จับส่งตำรวจ" ชายร่างอ้วนเจ้าของร้านตะคอกเสียงดังอีก
"มันไม่มีเงินจ่ายค่าเสียหายให้อั๊วะ"
เทพมองหน้าเจ้าของร้านอย่างชิงชัง กลั้นใจถาม
ไม่พอใจ
"เท่าไหร่ ?"
ทุกคนในที่นั้น ต่างจ้องมองเทพอย่างไม่เชื่อถือ คล้ายจะพูดออกมาว่า "แต่งกายซอมซ่ออย่างนี้หรือ จะมีปัญญาจ่ายค่าเสียหาย"
เทพมิได้สนใจ คงถามเจ้าของร้านด้วยประโยคเดิม "เท่าไหร่ ?"
"ห้าร้อยบาท !" เจ๊กอ้วนบอกน้ำเสียงห้วน ๆ เทพตะลึง
"ห้าร้อยบาท ..." เขาทวนคำ
คอตก ใจแห้งโหย มือที่ซุกลงไปในกระเป๋ากางเกงมีเหงื่อชุ่มโชก
"ห้าร้อยบาทกับอิสรภาพของเด็กคนนี้ และเพื่อมนุษยธรรม" เขาพึมพำ
ท้องส่งเสียงร้องโอ๊กอ๊ากขึ้นมาอีก
ขณะที่มือข้างซ้ายดึงธนบัตรใบละห้าร้อยขึ้นมาอย่างยากเย็น มือข้างขวาก็ลูบไล้หน้าท้องไปด้วย นัยน์ตาของเทพพร่าพราย
ก่อนจะส่งเงินห้าร้อยบาทให้เจ๊กอ้วนเจ้าของร้าน เทพได้ยินเสียงรถสามล้อเครื่องเข้ามาจอด ผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนลั่นว่า "มันวิ่งเข้ามาที่ตรอกนี้แหละค่าคุณตำรวจ"
ไม่ทันที่เสียงของผู้หญิงคนนั้นจะขาดหายไป หลายคนในกลุ่มที่ห้อมล้อมเขาอยู่ก็ตะโกนดัง ๆ
เกือบพร้อมกันว่า "ตำรวจ ... เชิญทางนี้
ขโมยเข้ามาลักไก่ช่วยจับที"
ถ้าเทพมีเรี่ยวแรงพอ
เขาจะคว้ามือเด็กคนนั้นวิ่งกระโจนออกไปให้เต็มฝีเท้า แต่นี่เขาทำไม่ได้
ทันทีที่ผู้หญิงคนนั้นเห็นเขา หล่อนส่งเสียงโวยวายพร้อมชี้มาที่ตัวเขา
"นี่แหละค่าคุณตำรวจ คนที่วิ่งราวกระเป๋าเงินของอิชั้น"
...อย่างคนที่หมดเรี่ยวแรง เทพเข่าอ่อนล้มพับลงที่ตรงนั้นนั่นเอง...
--------------------------------
ความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ในเฟซบุ้ค
--------------------------------
ความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ในเฟซบุ้ค
...มนุษยธรรมเป็นเหตุ เรื่องสั้นเรื่องแรกที่เขีย นแล้วได้รับการพิจารณานำลงต ีพิมพ์ในนิตยสารรายสัปดาห์ส ยามสมัย ปีที่ 15 ฉบับที่ 754 วันจันทร์ ที่ 23 ตุลาคม 2504 หน้า 27 โดยใช้นามปากกา รมย์ รุจิเรข
15 ความคิดเห็น
ความคิดเห็น
รุจิเรข อภิรมย์ ...13/6/2556 : 01.02 น.
๐ เราอดอยากยากแค้นสุดแสนเข็ญ
แต่พอเห็นคนอื่นอดรันทดกว่า
หากใจดำดูดาย...ตายต่อตา
แต่หากมาช่วยเขาเราก็ตาย
๐ ต้องตัดใจในนาทีที่พบเห็น
ว่าอยากเป็นเช่นไรในจุดหมาย
เลือกธัมมะหรืออธรรมค้ำใจกาย
สิ่งสุดท้ายสู้เลือกธรรมนำชีวี
๐ เราอดอยากยากแค้นสุดแสนเข็ญ
แต่พอเห็นคนอื่นอดรันทดกว่า
หากใจดำดูดาย...ตายต่อตา
แต่หากมาช่วยเขาเราก็ตาย
๐ ต้องตัดใจในนาทีที่พบเห็น
ว่าอยากเป็นเช่นไรในจุดหมาย
เลือกธัมมะหรืออธรรมค้ำใจกาย
สิ่งสุดท้ายสู้เลือกธรรมนำชีวี
รุจิเรข อภิรมย์ มนุษยธรรมเป็นเหตุ
โดย
รุจิเรข อภิรมย์
๑
ความอยากย่อมเสือกใสนรชนให้ดิ้นรนไปทุกแห่ง
มือที่ล้วงลงในกระเป๋ากางเกง เปียกชุ่มด้วยหยาดเหงื่อ
"ห้าร้อยบาท" เทพรำพึงด้วยเสียงสั่นเครือขณะชะลอฝีเท้าจากวิ่งมาเป็นเดิน ระบายลมหายใจแรง ๆ เพื่อผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อย เขารู้สึกโล่งใจที่เข้ามาในเขตปลอดภัยแล้ว
"ห้าร้อยบาทกับการเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง ... " เขายังคงพูดต่อไปอีก แม้คำสุดท้ายจะแผ่วหายไปกับลมหนาวปลายเดือนธันวาคมอันกระจัดกระจายเสียดแทรกผิวเนื้อจนสั่นสะท้าน
เทพหยุดคำพูดเพียงเท่านั้น เท้ายังคงพาเขาเดินดุ่มไปตามตรอกแคบ ๆ ตรอกหนึ่งใกล้สี่แยกบ้านแขก ย่านธนบุรี ภายในสมองมีแต่ความคิดสับสน
เขาจะใช้เงินห้าร้อยบาทซึ่งวิ่งราวได้มาหยก ๆ นี้ให้หมดไปกับอะไรดี...เทพคิดอย่างเพลีย ๆ ก่อนอื่นเขาจะต้องตรงไปที่ตลาดเพื่อซื้อหาอาหารมาบรรจุท้องซึ่งหิวจนแสบ ลำไส้แทบจะกิ่วขาดอยู่มะรอมมะร่อเพราะน้ำย่อยอาหารถูกขับออกมาย่อยแต่กระเพาะเปล่าถึงสองวันติดต่อกันมานี่แล้ว สองวันที่เทพต้องฝากท้องไว้กับก๊อกน้ำประปา ทั้ง ๆ ที่ข้าวมีขาย แต่เขาไม่มีเงินจะมาซื้อกิน
เทพบดกรามจนนูนเป็นสันเมื่อนึกถึงนายจ้างที่เหี้ยมโหด นึกถึงค่าแรงงานที่เขาควรจะได้รับแต่กลับถูกคดโกงไปโดยนายพิศ-ผู้เป็นทั้งนายจ้างและหัวหน้าคนงานที่จ้างเขาไว้ นึกถึงภาพที่เขาใช้กำปั้นไม่มีรูฟาดปากของนายจ้าง เมื่อเห็นความไม่เป็นธรรมของมัน จนเขาถูกขับออกจากงาน เลือดในกายของเขาเดือดคลั่งทั้งที่วันนั้นเป็นวันที่อากาศหนาวที่สุดวันหนึ่ง
ท้องครวญขึ้นมาอีก เหมือนที่เคยร่ำร้องมามากต่อมากแล้ว่า หิว หิว หิว แต่เขาไม่เคยหาอะไรมาบรรจุกระเพราะเลย ได้แต่ใช้มือสากหนาลูบไล้หน้าท้องไปมา รีบสาวเท้าก้าวพรวดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ... ร้านอาหารในตลาดมองเห็นอยู่เบื้องหน้า ทว่า หัวคิ้วของเทพขมวดเข้าหากันอย่างพิศวงที่เห็นคนมุงดูอยู่เต็มตรงหน้าร้านอาหารที่เขาตั้งใจจะเข้าไปกิน
"หรือจะมีความตายเกิดขึ้น" เขาพูดกับตนเองเบา ๆ
เท้าเร็วเท่าความคิด เขาเดินเหมือนวิ่งเข้าไปที่คนกลุ่มนั้น มีเสียงเอะอะเฮฮา เสียงล้งเล้งของชาวจีนสอง-สามคน ผสมกันดังออกมา
"ลงประชาทัณฑ์ ... ฆ่ามัน, เด็กอัปรีย์ อยู่ต่อไปก็รกโลก"
"อย่า ..." เสียงร้องห้ามจากชายในชุดสากล พร้อมตะโกนบอก "กฎหมายยังมีอยู่ ตำรวจจะจัดการให้เอง"
"แต่มันไม่มีเงิน, มันทำลายข้าวของฉันเสียหาย" เจ้าของร้านอาหารร่างอ้วนพูดพลางชี้นิ้วไปที่ตู้ขายอาหารซึ่งมีกระจกบานเลื่อนปิด-เปิดแตก เศษแก้วเกลื่อน
โดย
รุจิเรข อภิรมย์
๑
ความอยากย่อมเสือกใสนรชนให้ดิ้นรนไปทุกแห่ง
มือที่ล้วงลงในกระเป๋ากางเกง เปียกชุ่มด้วยหยาดเหงื่อ
"ห้าร้อยบาท" เทพรำพึงด้วยเสียงสั่นเครือขณะชะลอฝีเท้าจากวิ่งมาเป็นเดิน ระบายลมหายใจแรง ๆ เพื่อผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อย เขารู้สึกโล่งใจที่เข้ามาในเขตปลอดภัยแล้ว
"ห้าร้อยบาทกับการเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง ... " เขายังคงพูดต่อไปอีก แม้คำสุดท้ายจะแผ่วหายไปกับลมหนาวปลายเดือนธันวาคมอันกระจัดกระจายเสียดแทรกผิวเนื้อจนสั่นสะท้าน
เทพหยุดคำพูดเพียงเท่านั้น เท้ายังคงพาเขาเดินดุ่มไปตามตรอกแคบ ๆ ตรอกหนึ่งใกล้สี่แยกบ้านแขก ย่านธนบุรี ภายในสมองมีแต่ความคิดสับสน
เขาจะใช้เงินห้าร้อยบาทซึ่งวิ่งราวได้มาหยก ๆ นี้ให้หมดไปกับอะไรดี...เทพคิดอย่างเพลีย ๆ ก่อนอื่นเขาจะต้องตรงไปที่ตลาดเพื่อซื้อหาอาหารมาบรรจุท้องซึ่งหิวจนแสบ ลำไส้แทบจะกิ่วขาดอยู่มะรอมมะร่อเพราะน้ำย่อยอาหารถูกขับออกมาย่อยแต่กระเพาะเปล่าถึงสองวันติดต่อกันมานี่แล้ว สองวันที่เทพต้องฝากท้องไว้กับก๊อกน้ำประปา ทั้ง ๆ ที่ข้าวมีขาย แต่เขาไม่มีเงินจะมาซื้อกิน
เทพบดกรามจนนูนเป็นสันเมื่อนึกถึงนายจ้างที่เหี้ยมโหด นึกถึงค่าแรงงานที่เขาควรจะได้รับแต่กลับถูกคดโกงไปโดยนายพิศ-ผู้เป็นทั้งนายจ้างและหัวหน้าคนงานที่จ้างเขาไว้ นึกถึงภาพที่เขาใช้กำปั้นไม่มีรูฟาดปากของนายจ้าง เมื่อเห็นความไม่เป็นธรรมของมัน จนเขาถูกขับออกจากงาน เลือดในกายของเขาเดือดคลั่งทั้งที่วันนั้นเป็นวันที่อากาศหนาวที่สุดวันหนึ่ง
ท้องครวญขึ้นมาอีก เหมือนที่เคยร่ำร้องมามากต่อมากแล้ว่า หิว หิว หิว แต่เขาไม่เคยหาอะไรมาบรรจุกระเพราะเลย ได้แต่ใช้มือสากหนาลูบไล้หน้าท้องไปมา รีบสาวเท้าก้าวพรวดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ... ร้านอาหารในตลาดมองเห็นอยู่เบื้องหน้า ทว่า หัวคิ้วของเทพขมวดเข้าหากันอย่างพิศวงที่เห็นคนมุงดูอยู่เต็มตรงหน้าร้านอาหารที่เขาตั้งใจจะเข้าไปกิน
"หรือจะมีความตายเกิดขึ้น" เขาพูดกับตนเองเบา ๆ
เท้าเร็วเท่าความคิด เขาเดินเหมือนวิ่งเข้าไปที่คนกลุ่มนั้น มีเสียงเอะอะเฮฮา เสียงล้งเล้งของชาวจีนสอง-สามคน ผสมกันดังออกมา
"ลงประชาทัณฑ์ ... ฆ่ามัน, เด็กอัปรีย์ อยู่ต่อไปก็รกโลก"
"อย่า ..." เสียงร้องห้ามจากชายในชุดสากล พร้อมตะโกนบอก "กฎหมายยังมีอยู่ ตำรวจจะจัดการให้เอง"
"แต่มันไม่มีเงิน, มันทำลายข้าวของฉันเสียหาย" เจ้าของร้านอาหารร่างอ้วนพูดพลางชี้นิ้วไปที่ตู้ขายอาหารซึ่งมีกระจกบานเลื่อนปิด-เปิดแตก เศษแก้วเกลื่อน
พิณจันทร์ พิณจันทร์ ต่ายกดไลท์ไว้ก่อนค่ะ คืนนี้มาอ่าน/ว่าแต่ หนูๆๆๆ..ยังไม่เกิดยังอยู่ไหนไม่รู็555555+
Sangwran Shinnawat สะท้อนใจมากค่ะ พี่รุจ สำหรับเคยหิวและอดมาอาหารมา แต่หนูจะโชคดีกว่า เทพ ค่ะ เพราะเกิดมาเป็นคนบ้านนอก ยังมีป่า ทุ่งนา ให้ออกไปหาผลไม้ป่าที่เกิดตามฤดูกาล และพวกแมลง ทั้งหลายได้เก็บและจับมาเป็นอาหารเพื่อประทังความหิวโซได้โดยไม่ต้องไปฉกชิงวิ่งราว...ย้อนยุคไป45ปี ถึงอิสานเมื่อก่อน ความแห้งแล้งและกันดาร ขาดน้ำ ขาดอาหาร ..หนูได้เคยสัมผัส สิ่งนี้มาก่อนกว่าจะหาแมลงหรือกบ เขียดได้สักตัว.. หมากไม้ป่าสักช่อนั้นสุดจะกลั้นความหิวไว้ได้.. กล่าวได้ว่า "เข้าใจ และสะท้อนใจ ยิ่งนัก กับเหตุการณ์เช่นนี้"
รุจิเรข อภิรมย์ ...ตอนนั้นคุณต่ายอยู่ที่ไหนไม่สำคัญ แต่ตอนนี้เมื่อคุณต่ายเข้ามาอ่าน ผมภูมิใจมากที่คุณต่ายให้เกียรติผม เขียนแล้วมีคนอ่าน ไม่มีอะไรจะน่าภูมิใจมากไปกว่านี้สำหรับคนเขียนหนังสือ
เพลงไผ่ ในสายลม เยี่ยมมากๆค่ะ ถือว่าเป็นเกียรติที่เพลงได้รู้จักกับคุณรุจิเรขค่ะ 😀
ความทรงจำ ริมน่าน ตีพิมก่อนหนุเกิด20ปี!!!! เป็นเกียรติมากที่สุดกับหนุเลยค่ะ จะหาหนังสือที่คุนเขียนอ่านนะคะนามปากกาคุณ รมย์ รุจิเรข👍👍👍👍👍
รุจิเรข อภิรมย์ ... ในสยามสมัยถ้าจำไม่ผิดจะใช้ ๒ นามปากกาครับ แต่อีกนามปากกาขออุบเอาไว้ก่อน
ความทรงจำ ริมน่าน อยากฟังอยากอ่านเรื่องราวในอดีตค่ะ คงน่าอภิรมย์ยิ่งนัก เขียนผ่านเฟสบุคเยอะๆนะคะขอเป็นแฟนคลับคนแรกค่ะ😄😄😄
รุจิเรข อภิรมย์ ...ขอบคุณที่กรุณาให้กำลังใจ แต่คงทำได้เท่าที่กำลังวังชาจะเอื้ออำนวยเท่านั้นครับ จะให้ฮึกเหิมเหมือนเมื่อก่อนคงทำได้ยากเต็มที
ขณะนี้มีชิ้นงานที่นำไปบันทึกไว้ที่บล็อค http://myimagegarden.blogspot.com/... ดูเพิ่มเติม
ขณะนี้มีชิ้นงานที่นำไปบันทึกไว้ที่บล็อค http://myimagegarden.blogspot.com/... ดูเพิ่มเติม