วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557

มนุษยธรรมเป็นเหตุ

มนุษยธรรมเป็นเหตุ
โดย
รุจิเรข  อภิรมย์
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
นำเรื่อง
๐       เราอดอยากยากแค้นสุดแสนเข็ญ  
แต่พอเห็นคนอื่นอด ...รันทดกว่า  
หากใจดำดูดาย...ตายต่อตา  
แต่หากมาช่วยเขาเราก็ตาย   
       ต้องตัดใจในนาทีที่พบเห็น  
ว่าอยากเป็นเช่นไรในจุดหมาย  
เลือกธัมมะหรืออธรรมค้ำใจกาย  
สิ่งสุดท้ายสู้เลือกธรรมนำชีวี


          มือที่ล้วงลงในกระเป๋ากางเกง  เปียกชุ่มด้วยหยาดเหงื่อ
          "ห้าร้อยบาท"  เทพรำพึงด้วยเสียงสั่นเครือขณะชะลอฝีเท้าจากวิ่งมาเป็นเดิน  ระบายลมหายใจแรง ๆ เพื่อผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อย  เขารู้สึกโล่งใจที่เข้ามาในเขตปลอดภัยแล้ว 
          "ห้าร้อยบาทกับการเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง ... "  เขายังคงพูดต่อไปอีก  แม้คำสุดท้ายจะแผ่วหายไปกับลมหนาวปลายเดือนธันวาคมอันกระจัดกระจายเสียดแทรกผิวเนื้อจนสั่นสะท้าน 
          เทพหยุดคำพูดเพียงเท่านั้น  เท้ายังคงพาเขาเดินดุ่มไปตามตรอกแคบ ๆ ตรอกหนึ่งใกล้สี่แยกบ้านแขก  ย่านธนบุรี  ภายในสมองมีแต่ความคิดสับสน 
          เขาจะใช้เงินห้าร้อยบาทซึ่งวิ่งราวได้มาหยก ๆ นี้ให้หมดไปกับอะไรดี...เทพคิดอย่างเพลีย ๆ  ก่อนอื่นเขาจะต้องตรงไปที่ตลาดเพื่อซื้อหาอาหารมาบรรจุท้องซึ่งหิวจนรู้สึกแสบ  ลำไส้แทบจะกิ่วขาดอยู่มะรอมมะร่อเพราะน้ำย่อยอาหารถูกขับออกมาย่อยแต่กระเพาะเปล่าถึงสองวันติดต่อกันมานี่แล้ว  สองวันที่เทพต้องฝากท้องไว้กับก๊อกน้ำประปา  ทั้ง ๆ ที่ข้าวมีขาย  แต่เขาไม่มีเงินจะมาซื้อกิน
          เทพบดกรามจนนูนเป็นสันเมื่อนึกถึงนายจ้างที่เหี้ยมโหด  นึกถึงค่าแรงงานที่เขาควรจะได้รับแต่กลับถูกคดโกงไปโดยนายพิศ-ผู้เป็นทั้งนายจ้างและหัวหน้าคนงานที่จ้างเขาไว้  นึกถึงภาพที่เขาใช้กำปั้นไม่มีรูฟาดปากของนายจ้าง  เมื่อเห็นความไม่เป็นธรรมของมัน  จนเขาถูกขับออกจากงาน  เลือดในกายของเขาเดือดคลั่งทั้งที่วันนั้นเป็นวันที่อากาศหนาวที่สุดวันหนึ่ง
          ท้องครวญขึ้นมาอีก  เหมือนที่เคยร่ำร้องมามากต่อมากแล้วว่า  หิว  หิว  หิว  แต่เขาไม่เคยหาอะไรมาบรรจุกระเพราะเลย  ได้แต่ใช้มือสากหนาลูบไล้หน้าท้องไปมา  รีบสาวเท้าก้าวพรวดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ... ร้านอาหารในตลาดมองเห็นอยู่เบื้องหน้า  ทว่า  หัวคิ้วของเทพขมวดเข้าหากันอย่างพิศวงที่เห็นคนมุงดูอยู่เต็มตรงหน้าร้านอาหารที่เขาตั้งใจจะเข้าไปกิน
          "หรือจะมีความตายเกิดขึ้น"  เขาพูดกับตนเองเบา ๆ
          เท้าเร็วเท่าความคิด  เขาเดินเหมือนวิ่งเข้าไปที่คนกลุ่มนั้น  มีเสียงเอะอะเฮฮา  เสียงล้งเล้งของชาวจีนสอง-สามคน  ผสมกันดังออกมา
          "ลงประชาทัณฑ์ ...  ฆ่ามัน,  เด็กอัปรีย์  อยู่ต่อไปก็รกโลก"
          "อย่า ..."  เสียงร้องห้ามจากชายในชุดสากล  พร้อมตะโกนบอก  "กฎหมายยังมีอยู่  ตำรวจจะจัดการให้เอง"
          "แต่มันไม่มีเงิน,  มันทำลายข้าวของฉันเสียหาย"  เจ้าของร้านอาหารร่างอ้วนพูดพลางชี้นิ้วไปที่ตู้ขายอาหารซึ่งมีกระจกบานเลื่อนปิด-เปิดแตก  เศษแก้วเกลื่อน
          เทพพยายามเบียดตัวเองเข้าไปอยู่กับคนกลุ่มนั้น  ทั้ง ๆ ที่ยังเหนื่อยหอบ  อ่อนเพลียแทบขาดใจ  อดถามคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มิได้  "เกิดอะไรขึ้น"
          "เศษมนุษย์คนนี้ซีครับ"  ผู้ตอบพยายามที่จะใช้คำให้สุภาพ  พร้อมกับชี้ไปที่ร่างเล็ก ๆ ของหนูน้อยวัยสิบห้า-สิบหกปีคนหนึ่งซึ่งนั่งร้องไห้อยู่ในท่ามกลางวงล้อมของไทยมุงเหล่านั้น  ในมือพ่อหนูมีไก่ย่างถืออยู่หนึ่งตัว  แกแต่งกายด้วยกางเกงที่ขาดกะรุ่งกะริ่ง  สกปรก  เพียงตัวเดียวเท่านั้น  ทุกครั้งที่ถอนสะอื้น  จะเห็นซี่โครงไหวพะเยิบพะยาบ  ถ้าดูคนไม่ผิด  เทพอยากพูดเหลือเกินว่า...เด็กคนนี้กำลังหมดเรี่ยวหมดแรงที่จะเดินต่อไป 
          เห็นเทพสนใจภาพเด็กน้อยเบื้องหน้า  ชายคนนั้นจึงบอกต่อ  "มาจากไหนก็ไม่รู้  เข้าไปขอข้าวของพ่อค้ากิน  อ้ายอ้วนไม่ยอมให้  พอเจ้าของเผลอเด็กก็เอาก้อนหินขว้างใส่กระจกแตกยับเยิน  แล้วหยิบเอาไก่ไปหนึ่งตัวที่เห็นถืออยู่ในมือนั่นแหละครับ"
          เทพพยักหน้า
          "แกคงหิว"  เขารำพึง
          "มันกำลังจะถูกลงประชาทัณฑ์  ไม่มีเงินชดใช้ค่าเสียหาย  ดีแต่ชายในชุดสากลคนนั้นมาห้ามไว้"  ชายคนเดิมบอกอีก  เทพเดินอย่างอ่อนแรงเข้าไปหาเด็กโกโรโกโสคนนั้น
          "หนูไปทำลายข้าวของของเขาทำไม ?"  เทพถามสุภาพ  หนูน้อยเงยหน้าซีดเซียวขึ้นมองเทพ  คราบน้ำตายังเกรอะกรัง  ตาเศร้า ๆ ของแกบอกให้รู้ว่าเพลียเต็มประดา
          "หนูหิว... อดข้าวมาสอง ... สองวันแล้วครับ"   ด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก  แผ่วเบา  ขาดเป็นห้วง ๆ   หนูน้อยพยายามบอก
          "หิวข้าว ... อดข้าวมาสองวันแล้ว !"  เทพอุทาน  ใจหายวาบ  เอามือลูบที่ท้องของตนเองอย่างไม่รู้สึกตัว
          "จับส่งตำรวจ"  ชายร่างอ้วนเจ้าของร้านตะคอกเสียงดังอีก  "มันไม่มีเงินจ่ายค่าเสียหายให้อั๊วะ"
          เทพมองหน้าเจ้าของร้านอย่างชิงชัง  กลั้นใจถาม  ไม่พอใจ
          "เท่าไหร่ ?"
          ทุกคนในที่นั้น  ต่างจ้องมองเทพอย่างไม่เชื่อถือ  คล้ายจะพูดออกมาว่า  "แต่งกายซอมซ่ออย่างนี้หรือ  จะมีปัญญาจ่ายค่าเสียหาย"
          เทพมิได้สนใจ  คงถามเจ้าของร้านด้วยประโยคเดิม  "เท่าไหร่ ?"
          "ห้าร้อยบาท !"  เจ๊กอ้วนบอกน้ำเสียงห้วน ๆ  เทพตะลึง
          "ห้าร้อยบาท ..."  เขาทวนคำ  คอตก  ใจแห้งโหย  มือที่ซุกลงไปในกระเป๋ากางเกงมีเหงื่อชุ่มโชก 
          "ห้าร้อยบาทกับอิสรภาพของเด็กคนนี้  และเพื่อมนุษยธรรม"  เขาพึมพำ  ท้องส่งเสียงร้องโอ๊กอ๊ากขึ้นมาอีก  ขณะที่มือข้างซ้ายดึงธนบัตรใบละห้าร้อยขึ้นมาอย่างยากเย็น  มือข้างขวาก็ลูบไล้หน้าท้องไปด้วย  นัยน์ตาของเทพพร่าพราย
          ก่อนจะส่งเงินห้าร้อยบาทให้เจ๊กอ้วนเจ้าของร้าน  เทพได้ยินเสียงรถสามล้อเครื่องเข้ามาจอด  ผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนลั่นว่า  "มันวิ่งเข้ามาที่ตรอกนี้แหละค่าคุณตำรวจ"
          ไม่ทันที่เสียงของผู้หญิงคนนั้นจะขาดหายไป  หลายคนในกลุ่มที่ห้อมล้อมเขาอยู่ก็ตะโกนดัง ๆ เกือบพร้อมกันว่า  "ตำรวจ ...  เชิญทางนี้  ขโมยเข้ามาลักไก่ช่วยจับที"
          ถ้าเทพมีเรี่ยวแรงพอ  เขาจะคว้ามือเด็กคนนั้นวิ่งกระโจนออกไปให้เต็มฝีเท้า  แต่นี่เขาทำไม่ได้ 
          ทันทีที่ผู้หญิงคนนั้นเห็นเขา  หล่อนส่งเสียงโวยวายพร้อมชี้มาที่ตัวเขา
          "นี่แหละค่าคุณตำรวจ  คนที่วิ่งราวกระเป๋าเงินของอิชั้น"

          ...อย่างคนที่หมดเรี่ยวแรง  เทพเข่าอ่อนล้มพับลงที่ตรงนั้นนั่นเอง...
                                           --------------------------------
ความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ในเฟซบุ้ค
...มนุษยธรรมเป็นเหตุ เรื่องสั้นเรื่องแรกที่เขียนแล้วได้รับการพิจารณานำลงตีพิมพ์ในนิตยสารรายสัปดาห์สยามสมัย ปีที่ 15 ฉบับที่ 754 วันจันทร์ ที่ 23 ตุลาคม 2504 หน้า 27 โดยใช้นามปากกา รมย์ รุจิเรข
15 ความคิดเห็น
ความคิดเห็น
รุจิเรข อภิรมย์ ...13/6/2556 : 01.02 น.

๐ เราอดอยากยากแค้นสุดแสนเข็ญ
แต่พอเห็นคนอื่นอดรันทดกว่า
หากใจดำดูดาย...ตายต่อตา
แต่หากมาช่วยเขาเราก็ตาย
๐ ต้องตัดใจในนาทีที่พบเห็น
ว่าอยากเป็นเช่นไรในจุดหมาย
เลือกธัมมะหรืออธรรมค้ำใจกาย
สิ่งสุดท้ายสู้เลือกธรรมนำชีวี
รุจิเรข อภิรมย์ มนุษยธรรมเป็นเหตุ
โดย
รุจิเรข อภิรมย์


ความอยากย่อมเสือกใสนรชนให้ดิ้นรนไปทุกแห่ง

มือที่ล้วงลงในกระเป๋ากางเกง เปียกชุ่มด้วยหยาดเหงื่อ
"ห้าร้อยบาท" เทพรำพึงด้วยเสียงสั่นเครือขณะชะลอฝีเท้าจากวิ่งมาเป็นเดิน ระบายลมหายใจแรง ๆ เพื่อผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อย เขารู้สึกโล่งใจที่เข้ามาในเขตปลอดภัยแล้ว
"ห้าร้อยบาทกับการเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง ... " เขายังคงพูดต่อไปอีก แม้คำสุดท้ายจะแผ่วหายไปกับลมหนาวปลายเดือนธันวาคมอันกระจัดกระจายเสียดแทรกผิวเนื้อจนสั่นสะท้าน
เทพหยุดคำพูดเพียงเท่านั้น เท้ายังคงพาเขาเดินดุ่มไปตามตรอกแคบ ๆ ตรอกหนึ่งใกล้สี่แยกบ้านแขก ย่านธนบุรี ภายในสมองมีแต่ความคิดสับสน
เขาจะใช้เงินห้าร้อยบาทซึ่งวิ่งราวได้มาหยก ๆ นี้ให้หมดไปกับอะไรดี...เทพคิดอย่างเพลีย ๆ ก่อนอื่นเขาจะต้องตรงไปที่ตลาดเพื่อซื้อหาอาหารมาบรรจุท้องซึ่งหิวจนแสบ ลำไส้แทบจะกิ่วขาดอยู่มะรอมมะร่อเพราะน้ำย่อยอาหารถูกขับออกมาย่อยแต่กระเพาะเปล่าถึงสองวันติดต่อกันมานี่แล้ว สองวันที่เทพต้องฝากท้องไว้กับก๊อกน้ำประปา ทั้ง ๆ ที่ข้าวมีขาย แต่เขาไม่มีเงินจะมาซื้อกิน
เทพบดกรามจนนูนเป็นสันเมื่อนึกถึงนายจ้างที่เหี้ยมโหด นึกถึงค่าแรงงานที่เขาควรจะได้รับแต่กลับถูกคดโกงไปโดยนายพิศ-ผู้เป็นทั้งนายจ้างและหัวหน้าคนงานที่จ้างเขาไว้ นึกถึงภาพที่เขาใช้กำปั้นไม่มีรูฟาดปากของนายจ้าง เมื่อเห็นความไม่เป็นธรรมของมัน จนเขาถูกขับออกจากงาน เลือดในกายของเขาเดือดคลั่งทั้งที่วันนั้นเป็นวันที่อากาศหนาวที่สุดวันหนึ่ง
ท้องครวญขึ้นมาอีก เหมือนที่เคยร่ำร้องมามากต่อมากแล้ว่า หิว หิว หิว แต่เขาไม่เคยหาอะไรมาบรรจุกระเพราะเลย ได้แต่ใช้มือสากหนาลูบไล้หน้าท้องไปมา รีบสาวเท้าก้าวพรวดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ... ร้านอาหารในตลาดมองเห็นอยู่เบื้องหน้า ทว่า หัวคิ้วของเทพขมวดเข้าหากันอย่างพิศวงที่เห็นคนมุงดูอยู่เต็มตรงหน้าร้านอาหารที่เขาตั้งใจจะเข้าไปกิน
"หรือจะมีความตายเกิดขึ้น" เขาพูดกับตนเองเบา ๆ
เท้าเร็วเท่าความคิด เขาเดินเหมือนวิ่งเข้าไปที่คนกลุ่มนั้น มีเสียงเอะอะเฮฮา เสียงล้งเล้งของชาวจีนสอง-สามคน ผสมกันดังออกมา
"ลงประชาทัณฑ์ ... ฆ่ามัน, เด็กอัปรีย์ อยู่ต่อไปก็รกโลก"
"อย่า ..." เสียงร้องห้ามจากชายในชุดสากล พร้อมตะโกนบอก "กฎหมายยังมีอยู่ ตำรวจจะจัดการให้เอง"
"แต่มันไม่มีเงิน, มันทำลายข้าวของฉันเสียหาย" เจ้าของร้านอาหารร่างอ้วนพูดพลางชี้นิ้วไปที่ตู้ขายอาหารซึ่งมีกระจกบานเลื่อนปิด-เปิดแตก เศษแก้วเกลื่อน
พิณจันทร์ พิณจันทร์ ต่ายกดไลท์ไว้ก่อนค่ะ คืนนี้มาอ่าน/ว่าแต่ หนูๆๆๆ..ยังไม่เกิดยังอยู่ไหนไม่รู็555555+
Sangwran Shinnawat สะท้อนใจมากค่ะ พี่รุจ สำหรับเคยหิวและอดมาอาหารมา แต่หนูจะโชคดีกว่า เทพ ค่ะ เพราะเกิดมาเป็นคนบ้านนอก ยังมีป่า ทุ่งนา ให้ออกไปหาผลไม้ป่าที่เกิดตามฤดูกาล และพวกแมลง ทั้งหลายได้เก็บและจับมาเป็นอาหารเพื่อประทังความหิวโซได้โดยไม่ต้องไปฉกชิงวิ่งราว...ย้อนยุคไป45ปี ถึงอิสานเมื่อก่อน ความแห้งแล้งและกันดาร ขาดน้ำ ขาดอาหาร ..หนูได้เคยสัมผัส สิ่งนี้มาก่อนกว่าจะหาแมลงหรือกบ เขียดได้สักตัว.. หมากไม้ป่าสักช่อนั้นสุดจะกลั้นความหิวไว้ได้.. กล่าวได้ว่า "เข้าใจ และสะท้อนใจ ยิ่งนัก กับเหตุการณ์เช่นนี้"
รุจิเรข อภิรมย์ ...ตอนนั้นคุณต่ายอยู่ที่ไหนไม่สำคัญ แต่ตอนนี้เมื่อคุณต่ายเข้ามาอ่าน ผมภูมิใจมากที่คุณต่ายให้เกียรติผม เขียนแล้วมีคนอ่าน ไม่มีอะไรจะน่าภูมิใจมากไปกว่านี้สำหรับคนเขียนหนังสือ
สุ.ป. กวี แล้วเขาโดนตำรวจจับไหม....
รุจิเรข อภิรมย์ ... คงต้องจินตนาการดูเองขอรับว่าจะโดนจับหรือเปล่า ?
รุจิเรข อภิรมย์ ...ใช่ครับ คนจนเท่านั้นที่เห็นใจคนจน
เพลงไผ่ ในสายลม เยี่ยมมากๆค่ะ ถือว่าเป็นเกียรติที่เพลงได้รู้จักกับคุณรุจิเรขค่ะ 😀
ความทรงจำ ริมน่าน ตีพิมก่อนหนุเกิด20ปี!!!! เป็นเกียรติมากที่สุดกับหนุเลยค่ะ จะหาหนังสือที่คุนเขียนอ่านนะคะนามปากกาคุณ รมย์ รุจิเรข👍👍👍👍👍
รุจิเรข อภิรมย์ ... ในสยามสมัยถ้าจำไม่ผิดจะใช้ ๒ นามปากกาครับ แต่อีกนามปากกาขออุบเอาไว้ก่อน
ความทรงจำ ริมน่าน อยากฟังอยากอ่านเรื่องราวในอดีตค่ะ คงน่าอภิรมย์ยิ่งนัก เขียนผ่านเฟสบุคเยอะๆนะคะขอเป็นแฟนคลับคนแรกค่ะ😄😄😄
รุจิเรข อภิรมย์ ...ขอบคุณที่กรุณาให้กำลังใจ แต่คงทำได้เท่าที่กำลังวังชาจะเอื้ออำนวยเท่านั้นครับ จะให้ฮึกเหิมเหมือนเมื่อก่อนคงทำได้ยากเต็มที

ขณะนี้มีชิ้นงานที่นำไปบันทึกไว้ที่บล็อค http://myimagegarden.blogspot.com/... ดูเพิ่มเติม

|