วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557

รักเธอเสมอ

รักเธอเสมอ


โดย ... รุจิเรข  อภิรมย์

   




         ณ ท่าน้ำดาวดึงษ์วันหนึ่งนั้น  เราพบกันสมดังจิตอธิษฐาน  ต่างหยุดตรึงตะลึงดูอยู่เนิ่นนาน  ก่อนจะขานเรียกกันอย่างมั่นใจ
        
        ฉันตื่นเต้นอย่างไรบอกไม่ถูก  ความพันผูกเก่าก่อนชวนอ่อนไหว  นานหลายปีที่เราพรากจากกันไกล  มิทำให้ฉันลืมเลือนเลยเพื่อนรัก

          รอยอดีตขีดวงตรงหน้าเด่น  ส่อให้เห็นความสัมพันธ์อันแน่นหนัก  แม้มีกรรมจำพราก...ลืมยากนัก  หัวใจมักพร่ำเพ้อเสมอมา  ได้พบกันอีกครั้งดั่งวันนี้  สมดังที่ฉันมุ่งมาดปรารถนา  จึงตะลึงตื่นเต้นเป็นธรรมดา  และรู้ว่าเธอก็เป็นเช่นเดียวกัน

          ฉันรีบเดินเข้าไปหา...หน้าระรื่น  เธอก็ยืนยิ้มรับราวกับฝัน  แต่ความหวังพังภิณท์สิ้นลงพลัน  เมื่อเธอนั้นบอกชัดแจ้ง...แต่งงานแล้ว ?


จาก...ผู้ที่ยังรักเธออยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออก

รุจิเรข อภิรมย์
อาศรมศานติสุข สวนฝันวรรณศิลป์
อ.เมืองยะลา จ.ยะลา






---บังเอิญพบกัน



 

---บังเอิญพบกัน



... เราพบกันที่หน้าวัดดาวดึงษ์...
...ถูกแล้ว...
ต่างหยุดตรึงอยู่กับที่  ตะลึงมองกันไม่วางตา
ความรู้สึกบอกให้รู้ว่า  นานพอสมควรทีเดียว  กว่าเราจะเขานเรียกชื่อของกันและกันอย่างมั่นใจว่า ไม่ผิดตัว !

"รุ้ง ..."
"รุจ ..."

เราเอ่ยเกือบพร้อมกัน  เท้าเริ่มก้าวเข้าหากัน ... ใกล้เข้าไปอีก
แล้วหยุดห่างกันเล็กน้อย  เมื่อต่างหลุดคำพูดออกมา
"ดีใจเหลือเกินที่เราได้พบกันอีก"
"ค่ะ ... รุ้งก็ดีใจ"

สายตาเราสบกัน  ยิ้มให้แก่กัน
ฉันตื่นเต้น  หัวใจระส่ำระสายผิดปกติ

"รุจมาทำอะไรที่นี่คะ ?"
"รุ้งละครับ  มาที่นี่ทำไม ?"
"ก็ ... บ้านของรุ้งอยู่ที่นี่ ..."  รอยยิ้มยังคงระบายอยู่ทั่วใบหน้า  "รุ้งพักอยู่กับน้อง ๆ ใกล้สถานีตำรวจบางยี่ขัน..."
"บ้านคุณป้าของผมก็อยู่ที่นี่  ใกล้วัดบางยี่ขันนี่เอง  ผมมาเยี่ยมท่าน..."

ช่างบังเอิญเสียนี่กระไร  บ้านอยู่ใกล้กัน  แต่เราทั้งสองไม่เคยได้พบกันเลย

"นี่รุ้งกำลังจะไปที่ไหน ?"
"สะพานหันค่ะ ...  แต่ไม่ได้รีบร้อนอะไร"  เธอรีบบอก
"งั้นเราไปคุยกันที่บ้านคุณป้าผมนะครับ"

เธอนิ่งไปชั่วขณะ  จนผมเน้น  "ผมอยากคุยกับรุ้ง  หลังเรียนจบจากบ้านสมเด็จเจ้าพระยาแล้ว  นานมากทีเดียวที่เราไม่ได้พบกันอีก"

"รุ้งก็ไม่คิดว่าเราจะได้พบกันที่นี่ ..."  เธอหลบสายตาผมนิดหนึ่ง  สีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

"ตรงข้ามกับผม  ทุกครั้งที่ลงเรือจากท่าพระอาทิตย์มาขึ้นที่ท่าวัดดาวดึงษ์  มีสังหรณ์บางอย่างว่าผมจะได้พบรุ้งที่นี่ ..."
"ทำไมละคะ..."
"ไม่ทราบสิ  คงเป็นเพราะคิดถึง  อยากพบ  อย่างน้อยสักครั้งหนึ่ง  ก่อนที่เราจะตายจากกัน ..."
"รุจ ..."  เธออุทาน  แต่ ... เบา  ก่อนจะจ้องมองผมตาไม่กระพริบ  "รุจแต่งงานแล้วนะ ..."

"รุ่งแต่งงานก่อนผม ..."  อย่างเจ็บปวด  ผมรีบเอ่ยสวนคำพูดของเธอ

รุ้งเม้มริมฝีปากเหมือนจะกลืนความรู้สึกบางอย่างแต่ไม่อยากให้รุจรู้  จึงรีบตัดบท

"ไปคุยกันที่บ้านคุณป้าของรุจก็ได้  ท่านไม่รำคาญแน่นะ ..."
"ไม่หรอกครับ ..."  ผมรีบบอก  ลิงโลด  "เชิญสิ ..."


๒ ---วันนัดพบ

รุ้ง... ที่รัก,
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร เราจึงได้ตกเป็นทาสของอดีต ...
ผมไม่คิดเลยว่า วันนั้น, เมื่อเราไปไม่พบคุณป้าแล้วใจเราจะเตลิดไกล จนถึงกับชวนกันไปดูหนัง
รักครั้งแรก ... คือชื่อหนังที่เราไปดูกันในวันนั้น
และหนังเรื่องนั้นเอง ที่มันทำให้เรายิ่งดื่มด่ำลงไปสู่เรื่องราวในอดีตมากยิ่งขึ้น
ความสุข ความสดชื่น ความขื่นขม ที่พระเอกกับนางเอกได้รับ ช่างคล้ายคลึงกับเรื่องราวของเรากระไรเช่นนั้น
เริ่มต้นด้วยเสียงหัวเราะ แล้วจบลงด้วยน้ำตา

ผมยังจำคำพูดของรุ้ง ในโรงภาพยนต์ วันนั้น ...
ท่ามกลางความสลัวรางของแสงไฟ ขณะภาพยนตร์กำลังเดินเรื่องไปอย่างเร้าอารมณ์
รุ้งบอกผมด้วยเสียงกระซิบ ... แต่ได้ยินชัดเจน
"ช่างเป็นความรักที่มีความสุขและสดชื่นเหลือเกิน"
ผมจับปลายนิ้วของรุ้งมากุมและบีบเบา ๆ
"เหมือนรักครั้งแรกของเรา" เป็นเสียงค่อนข้างกระซิบเช่นกัน "นางเอกสวยและซนเหมือนรุ้ง"
"พระเอกก็เหมือนรุจ ..." รุ้งหันมองฝ่าความมืดสลัวมายังผม "สมัยนั้น รุจขรึมจนรุ้งรำคาญ เฝ้าแหย่เฝ้าหยอกอยู่บ่อยครั้ง"
"สมัยนั้น ความจริงเราก็มีความสุขพอสมควรนะครับ"
"แต่รุ้งก็ต้องเสียน้ำตาให้กับรุจบ่อยครั้ง" เหมือนตัดพ้อ
"ก็รุ้งเชื่อคนอื่นมากกว่าเชื่อผม เขาบอกเขาเล่าอะไรให้ฟังเป็นเชื่อทันที"
"รุ้งผิดเองค่ะ" แม้จะเบา แต่เสียงนั้นก็หนักแน่น "และทำให้เราต้องลาจากกันด้วยน้ำตา ..."
"ผมไม่เคยลืมรุ้งและความหลังของเรา"
"รุ้งก็ไม่เคยลืมรุจ ..."
"รุ้งไม่รู้หรอกว่า ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ผมคิดถึงรุ้งมากเพียงใด"
"แล้วรุ้งไม่ได้คิดถึงรุจหรือคะ ?"
"ไม่ทราบจริง ๆ ครับ"
"โธ่ ..." เสียงเหมือนน้อยใจ พร้อมกับที่ผมรู้สึกเจ็บที่ต้นแขนเพราะโดนหยิก "บางครั้งรุ้งเกือบลืมไปว่าเราต่างก็แต่งงานแล้ว ..."
"รุ้งไม่ควรชวนผมมาดูหนังเรื่องนี้"
"ทำไมคะ ?"
"เจ็บปวดและดื่มด่ำกับอดีตมากยิ่งขึ้น"
"เราจะได้เป็นหนุ่มเป็นสาวกันอีกครั้งหนึ่ง ไม่ดีหรือคะ ?" ปลายเสียงของเธอมีกลั้วหัวเราะปนอยู่
มือของสองเราจับบีบกันเบา ๆ อบอุ่น
วันนั้น กว่าเราจะแยกจากกันก็เย็นมากแล้ว
ก่อนตะวันจะลับฟ้า รุ้งบอกผมอย่างผู้มีน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความผาสุก
"อย่าลืมนะคะ คืนวันอาทิตย์นี้ เราจะได้พบกันอีก"


---หรือจะจบลงด้วยน้ำตา

แล้ววันอาทิตย์ก็มาถึง ...

ตะวันลับฟ้าไปแล้ว แสงไฟสองฝั่งเจ้าพระยาปรากฏทั่วไป ที่นั่นที่นี่
ในทัศนียภาพยามพลบ รุจเห็นรุ้งยืนกระสับกระส่ายอยู่ที่โป๊ะท่าเรือฝั่งดาวดึงษ์ ทุกครั้งที่เรือข้ามฟากเข้าเทียบท่าและออกจากท่าไป ดูเธอไม่ค่อยจะมีความสุขนัก
หากมีอำนาจสื่อสารใดที่พอจะทำได้ รุจอยากบอกให้รุ้งรับรู้เหลือเกินถึงข้อความที่ปรากฏอยู่ในหัวใจของเขา แต่เมื่อไม่มีหนทางอื่นที่จะทำได้ เขาจึงได้แต่เพียงยืนมองดูเธอ จนกว่าความเบื่อหน่ายจะมาถึง และรุ้งผละออกจากท่าเรือแห่งนั้น กลับไปสู่บ้านของเธอตามเดิม
มันอาจเป็นการรอคอยที่ยาวนาน ... จนตลอดชีวิตของเธอก็เป็นได้ เพราะมโนธรรมคอยเตือนรุจอยู่ตลอดเวลา เพื่อผดุงศีลธรรมเอาไว้ และเพื่อให้ครอบครัวของเราไม่มีรอยแตกร้าว รุจกับรุ้งจะต้องไม่พบกันอีก  เป็นการตัดสินใจที่แน่วแน่ของรุจแล้วว่าจะไม่ปรากฏตัวไปพบกับรุ้ง
ถูกแล้ว ... เราจะไม่ได้พบกันอีก ...

สุดที่รัก, รุ้งคงจำคำพูดของรุจที่ฝากไว้ก่อนออกจากโรงภาพยนตร์ในวันนั้นได้
หากไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ เราก็ไม่ต่างอะไรจากเดรัจฉาน
เราต้องเลือกเอา ระหว่างการเป็นเดรัจฉาน กับ การเป็นมนุษย์ผู้มีจิตใจสูง

...ถึงอย่างไร รุจก็ยังรักรุ้งเสมอ...
รักเธอเสมอ
รักเหมือนกับเสียงเพลงที่กำลังลอยพลิ้วมากับสายลมนั่นเอง
รักเธอเสมอ  รักเธอเสมอ




นิยายรักเรื่องนี้ที่ผมเขียน
ได้ลอกเลียนชีวิตจริงไม่อิงไผ
ทุกวันนี้
แม้ชีวันใกล้บรรลัย

แต่หัวใจผมยังรักภักดีเธอ


แม้หนใดเธอไปอยู่หากรู้ได้
วานเทพไท้ได้ทวนทบให้พบเสมอ

อสงขัยกัปกัลป์...ฝันละเมอ

ผมเฝ้าเพ้อเพรียกพธูเพียงผู้เดียว


รุจิเรข อภิรมย์








วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

กลอยใจ

กลอยใจ
โดย
รุจิเรข  อภิรมย์
.......................


อันเรื่องสั้นฉันสร้างอย่างเรื่องนี้
จากฤดีแด่เธอดวงใจฉัน
แม้มีกรรมจำพรากเราจากกัน
แต่ตัวฉันนั้นยังรักภักดีเธอ

         แดดยามเย็นในเดือนเมษายนอ่อนลงมากแล้ว  ไอร้อนเริ่มผ่อนคลาย  
ผู้คนที่มาออกกำลังกายบริเวณสนามศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา  พลุกพล่าน  หนาตา  คนยะลาเห็นคุณค่าของการออกกำลังกาย  สนามกีฬาและศูนย์ออกกำลังกายทุกแห่งจะมีผู้คนทุกเพศทุกวัยและทุกศาสนา  มาร่วมออกกำลังกายกันคับคั่งทั้งเช้า-เย็น
         ชายหญิงคู่หนึ่ง  สูงวัย  แต่ยังดูกระฉับกระเฉง  โดยเฉพาะฝ่ายหญิงแม้อายุจะเลยเจ็ดสิบปีไปแล้ว  แต่หน้าตาก็ยังดูอิ่มเอิบสวยงามไม่เหมือนคนสูงอายุทั่วไป  เขาและเธอเดินรวมกลุ่มไปกับคนอื่น ๆ ที่มาออกกำลังกาย  แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะสนใจอยู่กับเรื่องราวที่กำลังพูดคุยกัน
         จากปี พ.ศ. 2500  มาถึงวันนี้  เป็นเวลาห้าสิบสี่ปีเชียวนะ  กว่าเราจะได้มาพบกันอีก  ฝ่ายชายทบทวนกาลเวลาที่ล่วงเลยไป  นานเหลือเกิน  นานจนผมคิดว่าเราคงไม่มีโอกาสได้พบกันอีก  เพราะที่ผ่านมา  เหมือนตกอยู่ในบ่วงกรรม  ทั้งคนที่ผมรัก  คนที่เป็นคู่ชีวิตของผม  คนที่ใกล้ชิดผม  ต่างหนีหายตายจากผมไปหมด
         ฝ่ายหญิงซึ่งมีรูปร่างเตี้ยกว่า  ช้อนสายตาขึ้นมามองหน้าฝ่ายชายนิดหนึ่ง  แล้วกลับมองตรงไปข้างหน้า  พูดกึ่งน้อยใจ  กิ่งก็คิดว่าเราคงไม่ได้พบกันอีก  หลังจากได้พบกันครั้งสุดท้าย  เมื่อรุจมาฝึกงานในสถาบันที่กิ่งเรียนอยู่  แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นการพบเพื่อจากกันไปตลอดชีวิต  เพราะหลังจากนั้น  รุจเงียบหายเหมือนตายจากกิ่งไปแล้ว
         ปลายคำของเธอแผ่ว...เครือ  จนรุจสะเทือนใจ  เขาจับปลายนิ้วของเธอบีบเบา ๆ
         ผมไม่เคยลืมกิ่ง  เสียงพูดแม้จะเบาแต่หนักแน่น  จำได้ว่าตอนปลายเดือนธันวาคมของปีที่ผมไปฝึกงานในสถาบันที่กิ่งกำลังเรียนอยู่  คืนหนึ่ง  ผมไปหากิ่งยังที่ที่เราเคยพบกัน  แต่พอเห็นหน้าผมกิ่งก็เอาแต่ร้องไห้  ถามอะไรก็ไม่ยอมพูดจา  ไม่ยอมให้เหตุผล  จนผมอ่อนใจ  กลับบ้านไปโดยไม่รู้สาเหตุอะไรเลย
         วัยรุ่นสี่ห้าคนวิ่งจับกลุ่มแซงขึ้นไปเบื้องหน้าคนทั้งสอง  รุจชำเลืองมองนิดหนึ่ง  คิดในใจ  ชีวิตคนเหมือนการกีฬา  แต่ละวันต้องอยู่กับการแข่งขัน  ทั้งกับตนเองและกับคนอื่น ๆ  เพื่อที่จะไปให้ถึงจุดหมายปลายทางซึ่งตนต้องการ  แพ้บ้างชนะบ้างคละเคล้ากันไป 
         รุจหันมามองกิ่งกมล  เธอยังคงสนใจที่จะฟังเรื่องราวของเขา  รุจจึงรื้อฟื้นอดีตต่อไป ผมเครียดอยู่หลายวัน  พยายามติดต่อกับกิ่งตั้งหลายครั้งก็ไม่เป็นผล      ประกอบกับผมต้อง เตรียมสรุปงานก่อนกลับไปสอบชิงทุนเรียนต่อที่กรุงเทพ  มุมานะกับการเรียน  สำเร็จแล้วก็ออกมาทุ่มเทชีวิตอยู่กับงาน  มีเวลาสืบหาข้อมูลความเป็นอยู่ของกิ่งน้อยมาก  จนไม่ทราบเลยจริง ๆ ว่ากิ่งไปอยู่ที่ไหน  กับใคร  ประกอบอาชีพอะไร  มือที่จับปลายนิ้วของเธอ  บีบกระชับ  กระทั่ง ... วันนี้,  เหมือนฝัน  ดีใจจนไม่รู้จะสรรหาคำใดมากล่าว  ที่มีโอกาสได้พบกิ่ง  และกิ่งยอมพูดคุยกับผม  ถามจริง ๆ เถอะ  วันนั้น ...โกรธผมเรื่องอะไร  เขาย้ำด้วยประโยคเดิมที่เคยถามเธอเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน
         ไม่ได้โกรธ  กิ่งกมลเน้นเสียง  ตวัดสายตามองรุจ  แล้วระบายความรู้สึกในอดีตให้เขาฟัง  คืนนั้น,  กิ่งเสียใจมากที่รุจไม่ยอมบอกความจริงกับกิ่งเรื่องพี่กลอยใจ  เธอเขียนจดหมายมาขอร้องกิ่งให้หลีกทางให้เธอ  เธอบอกว่าเธอใกล้ชิดกับรุจมานาน  นานจนรู้สึกว่าเธอไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้  ถ้าไม่มีรุจ  มีเหตุผลมากมายที่เธอพยายามอธิบายให้กิ่งเข้าใจแล้วสรุปว่ากิ่งอายุยังน้อย  มีโอกาสเลือกคนที่ถูกใจได้อีกมาก  ขอให้กิ่งหลีกทางให้เธอด้วย  กิ่งสงสาร  จึงยอม ...

         เมฆก้อนหนึ่งลอยมาบังดวงอาทิตย์ซึ่งคล้อยต่ำลงไปทางขอบฟ้าตะวันตก  ทำให้บรรยากาศบริเวณศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลาหม่นหมองชั่วขณะ  
         มือของฝ่ายชายที่จับปลายนิ้วฝ่ายหญิง  มีอาการสั่นเล็กน้อย  แล้วค่อย ๆ ปล่อยวางปลายนิ้วเรียวงามนั้นเป็นอิสระจากการเกาะกุม  สีหน้าของรุจเริ่มเผือดซีด  คิดไม่ถึงว่า  ครั้งหนึ่ง  เมื่อคุณครูกลอยใจตัดสินใจที่จะรักใคร เธอจะรักอย่างทุ่มเทจริงจังถึงเพียงนี้ 
         แดงฝากความหวังไว้กับผมมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?  รำพึงเบา ๆ เหมือนจะฝากเสียงนั้นไปกับสายลมยามใกล้พลบ  ถึงคนซึ่งอยู่แสนไกล  เท้าของคนทั้งสองก้าวย่างช้าลง  ผู้คนที่มาออกกำลังกายเริ่มทยอยกลับบ้านบ้างแล้ว  ความมืดกำลังโรยตัวคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ  อารมณ์ของรุจเตลิดหลุดไปอยู่กับอดีตจนไม่ได้ยินคำถามของกิ่งกมล
         ทำไมรุจไม่ชวนพี่แดงมาออกกำลังกายด้วยคะ ?

         ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีจากครามอมเทามาเป็นมัวหม่นใกล้มืดมิดเหมือนชีวิตคนเราที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสิ่งแวดล้อม 
         แม้ทุอย่างจะผ่านไปแล้วแสนนาน  แต่ภาพและเรื่องราวในอดีตยังคงผุดขึ้นมาในมโนคำนึงชัดเจน รุจยังไม่เคยลืมเธอ ... กลอยใจ  ตระกูลพาณิชย์ ... คนในหมู่บ้านเรียกขานเธอว่า...แดง !,      กลอยใจหรือแดงมีผิวขาวเนียน  ใบหน้างามอิ่มเอิบนวลใย  ดวงตาสดใสชวนลุ่มหลง  หลายครั้งที่อยู่ใกล้เธอ  รุจอดมิได้ที่จะจ้องมองไม่วางตา
         เย็นวันหนึ่ง  บริเวณห้องโถงในบ้านของเธอ  รุจว่างจากภารกิจประจำวันจึงมาหาเธอด้วยความคิดถึง  แดงนั่งสอยกระดุมเสื้ออยู่ข้างจักรเย็บผ้าริมหน้าต่าง  ขณะสนทนากันตามสบาย  รุจนั่งพินิจใบหน้าอมเลือดฝาดที่งดงามราวจิตรกรขั้นเทพบรรจงรังสรรค์ให้มีชีวิตชีวานั้น  ไปด้วย
         มองอยู่ได้  กลอยใจทำเสียงเหมือนดุ  แต่พวงแก้มมีสีชมพูระเรื่อดุจกลีบกุหลาบแรกแย้ม
         สวยเหลือเกิน  อยากเก็บภาพนี้เอาไว้ในใจ”  รุจบอกจากใจจริง  จ้องมองเหมือนกลัวภาพนั้นจะเลือนหายไป
         แสดงว่ารุจเป็นคนหลงรูป  ตาจ้องสบตารุจอย่างไม่ค่อยมั่นใจ  ระวังตัวไว้นะ โลกใบนี้มีรูปที่ดึงดูดใจอยู่มากมาย  รุจอาจหลงตามไปจนกู่ไม่กลับ
         ผมรักแดงเพียงคนเดียว  ยืนยันและสบสายตาเธอไม่ละวาง  ถึงโลกใบนี้จะมีคนรูปงามดึงดูดใจอยู่มากมาย  หัวใจผมอาจหวั่นไหวไปบ้างตามธรรมดาของปุถุชน  แต่ผมก็รักแดงเพียงคนเดียว  ไม่ว่ากาลเวลาจะล่วงเลยไปนานแสนนานเพียงใด น้ำเสียงหนักแน่น  ตราตรึง   
         อย่ามั่นใจนัก  โลกมีแต่ความไม่แน่นอน  หัวใจคนเปลี่ยนแปลงได้  วันนี้รักพรุ่งนี้อาจลืม  โดยเฉพาะคนหลงรูปอย่างรุจ  เน้นคำท่อนท้าย  ก่อนจะเดินไปเอาแก้วน้ำส้มคั้นที่แช่เย็นอยู่ในกระติกน้ำแข็งออกมาสองแก้ว  ส่งให้รุจหนึ่งแก้ว  แดงคั้นเผื่อรุจ  ขอให้รุจรับรู้ว่าแดงรักและใส่ใจรุจมากเพียงใด  รุจต้องรู้จักฝึกใจให้มั่นคง  อย่าวอกแวกไปกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง  ไม่ง่ายนักที่รุจจะทำอย่างที่แดงบอก  แต่ถ้ารุจตั้งใจทำ  แดงมั่นใจว่ารุจฝึกได้  ทำได้  เธอยื่นมือมากุมมือรุจไว้  มิใช่ว่าแดงไม่ไว้วางใจรุจ  จงจำเอาไว้  แดงมีรุจเพียงคนเดียว  แดงต้องการเป็นคู่ชีวิตของรุจ  เรารู้จักคุ้นเคยกันมาตั้งแต่วัยเด็ก  วิ่งเล่นด้วยกัน  ช่วยเหลือกันมาตลอด  รู้จักและเข้าใจกันดี  ไม่มีใครเหมาะสมกับรุจเท่ากับแดง  และไม่มีใครเหมาะสมกับแดงเท่ากับรุจ
         รุจอยากกอดเธอไว้ในวงแขน  ปลอบขวัญให้เธอหายกังวล  แต่มโนธรรมที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่ทำอะไรให้เกินเลยกับผู้หญิงที่ยังมิได้แต่งงานกัน  ทำให้รุจได้แต่มองจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเธอ  สายตาสองคู่ประสานกันสนิท  อดมิได้ที่รุจจะคิดไปถึงคืนวันก่อน ๆ แดงมิใช่หรือที่คอยเป็นกำลังใจให้รุจมุ่งมั่นเรียนหนังสือ  คอยตัดเย็บเสื้อผ้าสวย ๆ ให้รุจสวมใส่เทียมหน้าเทียมตาเพื่อนฝูง 

      จงจำเอาไว้  แดงมีรุจเพียงคนเดียว  แดงต้องการเป็นคู่ชีวิตของรุจ  น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของแดง  ผุดพุ่งเข้ามาในจิตสำนึกของรุจอีกครั้ง  แม้จะเป็นเวลาหลังจากวันนั้นมาแล้วถึงห้าสิบสี่ปี ... มิใช่,  มันยังก้องอยู่ในหูทุกครั้งที่รุจอยู่คนเดียว  และคิดถึงเธอ 
         เมื่อกิ่งกมลเล่าเหตุผลที่เธอจำต้องสละรุจเพื่อหลีกทางให้กับแดง  จึงทำให้รุจรู้สึกปวดแปลบในดวงใจ  ยิ่งถูกตอกย้ำด้วยคำถามเดิมจากกิ่งกมล  ทำให้เขาเกือบทรงตัวไม่อยู่
         ทำไมรุจไม่ชวนพี่แดงมาออกกำลังกายด้วยคะ ?   ช่างเป็นคำถามที่เหมือนคมศรพุ่งเข้าเสียบแทงใจ  รุจรู้สึกเจ็บจนเกินจะบอกใครได้  หลุดคำพูดออกมา  แผ่ว ...เครือ ...
         ไม่มีแดงอีกแล้ว !
         “ทำไมคะ ?  กิ่งกมลละล่ำละลัก  ตาเบิกกว้าง ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เหตุผล  หลังจากพี่แดงแต่งงานกับรุจได้กี่ปีคะ ?
         ผมมิได้แต่งงานกับแดง  ริมฝีปากของรุจสั่นระริก  เสียงที่หลุดออกมาจากปากของเขาแผ่วเบาจนกิ่งกมลแทบไม่ได้ยิน  ถ้าความใฝ่ฝันของทุกคนเป็นจริงได้ทุกเรื่อง  คงไม่มีคนปวดร้าวจากความผิดหวัง  แม้แต่แดงก็เช่นเดียวกัน ...  คำพูดของรุจขาดหายไปชั่วครู่  กลิ่นหอมของดอกไม้กลางคืนล่องลอยมากับสายลมบางเบา  รุจรู้สึกเหมือนกามนิตกำลังสูดดมกลิ่นดอกปาริชาติในสรวงสวรรค์แล้วระลึกชาติได้  เขาพึมพำคล้ายคนละเมอ  ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องบุพเพสันนิวาสก็ตาม  แต่ผมเชื่อ ...  ถ้ามีแสงมากพอ  จะเห็นใบหน้ารุจเคร่งเครียด  เขาเริ่มลำดับเหตุการณ์แต่หนหลังให้กิ่งกมลรับฟัง 
         “หลังจากผมสอบชิงทุนได้ไปเรียนต่อที่กรุงเทพ  แม้จะมีเงินไม่มากนัก  แต่แดงก็คอยเป็นกำลังใจ  เหนือสิ่งอื่นใด  เธอพยายามเจียดรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอมีอยู่บ้างส่งไปช่วยเหลือผมทุกเดือน ... พยายามเรียนให้สำเร็จ  เพื่ออนาคตอันมั่นคงของครอบครัวเรา ... เธอบอก,  และเมื่อผมจบการศึกษากลับมารับราชการ  เธอก็ยังคอยห่วงใย  เตือนสติให้ผมรู้จักมัธยัสถ์  ด้วยความหวัง... สักวันหนึ่งเราจะได้เข้าพิธีแต่งงานกัน  ครอบครัวเราจะได้มีความสุข !
         แม้ความฝันของแดงจะบรรเจิดเพียงใด  แต่พรหมลิขิตก็มิได้ปราณีเรา   เรื่องที่ไม่น่าจะเกิดและไม่น่าจะเป็นไปได้ก็อุบัติขึ้น

         คืนหนึ่ง  ผมฝันว่าขณะที่ผมช่วยแดงทำกับข้าวโดยนั่งขูดมะพร้าวอยู่ที่ชานเรือนหน้าห้องครัวของบ้านเธอ  มีกินรีนางหนึ่งถลาลงมาโฉบเอาผมไป  ผมตกใจตื่น  จำใบหน้าและรูปร่างของกินรีนางนั้นได้ชัดเจนแต่มิได้สนใจ  เพราะรู้ว่ามิใช่ความจริง
         ช่วงเวลานั้นผมกำลังมีไฟแรง  อุดมการณ์สูง  ทุ่มเทชีวิตอยู่กับงานจนห่างเหินคุณครูกลอยใจที่รับราชการอยู่ต่างอำเภอ  แต่เธอก็มิได้ตัดพ้อต่อว่าอย่างใด  เธอไว้วางใจผม  มั่นใจว่าผมไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่น
         กระทั่งวันหนึ่ง,  เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น  หน่วยงานที่ผมรับผิดชอบมีการบรรจุแต่งตั้งผู้หญิงคนหนึ่งมาเป็นเจ้าหน้าที่  รูปร่างหน้าตาดี  ขยันทำงาน  มีความรับผิดชอบสูง  ฉลาด  ไหวพริบดี  ช่วยแก้ปัญหาให้ผมได้ทุกเรื่อง  ที่สำคัญ  เธอมีรูปร่างหน้าตาคล้ายนางกินรีที่ถลาลงมาโฉบผมในความฝัน  เราทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดจนกลายเป็นความผูกพันที่ยากจะแยกออกจากกันได้  ในที่สุดก็ตัดสินใจจะแต่งงานกัน  กรามของรุจขบกันจนเห็นแก้มโปนชัดเจนเมื่อจะเล่าต่อไป  ผมนำเรื่องนี้ไปบอกให้แดงทราบ  แทนที่จะโวยวายตัดพ้อต่อว่าต่อขาน  เธอกลับสงบนิ่งไปพักใหญ่  แล้วกล่าวเพียงสั้น ๆ  คิดดีแล้วหรือ ?
           แต่ผมก็ยังรักแดงอยู่  ผมย้ำคำพูดที่เคยบอกเธอ
         น้ำตาเท่านั้นที่ร่วงลงมาจากเบ้าตาทั้งสองของแดง  สองสามหยด  แล้วขาดหายไป !

         ฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว  จากมัวหม่นมาเป็นดำมืด  มีแต่แสงไฟฟ้าที่เทศบาลนครยะลาจัดไว้บริการประชาชนเท่านั้น  ที่ให้ความสว่างที่นั่นที่นี่  รุจไม่กล้าหันหน้ามามองกิ่งกมล  ได้แต่เล่าเรื่องย้อนอดีตต่อไปด้วยน้ำเสียงปร่า ... เศร้า  เสียดแทรกไปกับสายลมหวีดหวิว  น้ำตาคลอเมื่อบอกว่า  หลังจากนั้นไม่นาน  แดงผ่ายผอมผิดแผกไปจากเดิม  คืนหนึ่ง  ผมฝันเห็นเธอร้องไห้ปิ่มน้ำตาจะเป็นสายเลือด  เธอถอดแหวนจากนิ้วนางข้างซ้ายออกมาคืนให้ผมพร้อมเสียงสะอื้นแล้วเดินจากไป  ผมตื่นขึ้นมาด้วยใจเต้นระทึก  วันรุ่งขึ้นขณะช่วยภรรยาซักผ้า ผมได้กลิ่นศพโชยมาจึงถามภรรยาว่าเธอได้กลิ่นเช่นเดียว กับผมหรือเปล่า  เธอพยักหน้า  พอช่วงสายญาติมาบอกว่าแดงเสียชีวิต  มีไข้สูง  อาจเนื่องจากความตรอมตรม  ร่างกายอ่อนแอ  ขาดภูมิต้านทานจนล้มป่วย
         ก่อนตาย  แดงบันทึกข้อความสั้น ๆ สอดไว้ใต้หมอน  ไม่มีใครรู้ว่าเธอเขียนเมื่อใด ?  และเขียนทำไม ?  ญาติคนหนึ่งของเธอเป็นผู้พบขณะเคลื่อนย้ายร่างปราศจากวิญญาณไปเตรียมการเข้าสู่พิธีรดน้ำศพ,  เป็นปัจฉิมลิขิตที่เธอนอนหนุนจนถึงวาระสุดท้ายของลมหายใจ           รุจเป็นคนหลงรูปจึงไม่รู้คุณค่าของจิตใจ

         แสงไฟ  แม้จะไม่เจิดจ้าเหมือนแสงอาทิตย์ตอนกลางวันแต่ก็พอสังเกตสีหน้าของกิ่งกมลได้  จากที่เคยยิ้มละไม  รื่นเริง  บัดนี้เศร้าสร้อย  ผิดหวัง  ถ้าสามารถมองเข้าไปได้ใกล้ชิด  จะเห็นน้ำใส ๆ หล่อปริ่มทั้งสองเบ้าตา  
         รุจและกิ่งกมลเดินเลี้ยวลัดเข้าไปนั่งบนม้าหินข้างลู่วิ่งออกกำลังกาย  
         กิ่งกมลเสียงเครือ  เมื่อพึมพัมตัดพ้อ    เสียดายเวลาและโอกาสที่กิ่งอุตส่าห์สละให้กับพี่แดง  แต่รุจกลับทำลายมันจนหมดสิ้น
         ผมผิดเอง  ผิดที่ประเมินค่าความรักของคุณครูกลอยใจต่ำไป  ถ้าผมมีใจมั่นคง  ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งแวดล้อมผมคงได้แต่งงานกับเธอ  แต่นั่นแหละโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน  เราต้องอยู่กับมันอย่างรู้เท่าทันจึงจะไม่เกิดทุกข์  สุดท้ายรุจพูดเหมือนปลอบใจตนเอง
         ผ้าเช็ดหน้าที่กิ่งกมลดึงจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาซับน้ำตาแม้จะไม่ถึงกับชุ่มโชกแต่ก็บอกได้ถึงความสะเทือนใจ  พยายามควบคุมความรู้สึกแล้วพูดตามที่เคยได้ยินได้ฟังมา  อดจะนึกไปถึงคำสอนของพระพุทธองค์มิได้  ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์  ยึดมั่นอยู่กับสิ่งใดมากย่อมมีทุกข์  พลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์  มุ่งหวังสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์”   พูดพลางมองไปข้างหน้าด้วยใจที่เหม่อลอย 
         สามีคุณมิได้มาด้วยหรือ ?  รุจถามเบา ๆ
         เขาตายแล้ว  ด้วยโรคมะเร็ง  เมื่อหลายปีก่อน
         “ภรรยาของผมก็ตายแล้วเช่นกัน  เธอเป็นพาร์กินสัน  หลับแล้วไม่ยอมตื่น  รุจบอก
         บรรยากาศทั่วบริเวณนั้นค่อนข้างเงียบ  ผู้คนที่มาออกกำลังกายมีเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน  แม้จะยังไม่ดึกนัก  แต่สถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนใต้ไม่เอื้ออำนวย  ยามค่ำคืน  ทุกคนต้องรีบกลับเข้าบ้าน  รุจลุกขึ้นยืน  ยื่นมือให้กิ่งกมลจับ  ค่อย ๆ ดึงให้ทรงตัวอย่างทะนุถนอม

         กลับบ้านเถอะ  ผมไปส่งเอง  ดึกแล้วกลัวจะไม่ปลอดภัย
                                                                      

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

คืนหัวใจ

คืนหัวใจ
โดย
รุจิเรข  อภิรมย์
******************************
ก่อนวันจาก

          แดดยามสายเริ่มร้อนจัด  แต่ตรงใต้ร่มเงามะพร้าวเตี้ย ๆ ต้นหนึ่งริมถนนสายใหม่ซึ่งตัดตรงไปยังชายทะเลบางตาวา  อำเภอหนองจิก  จังหวัดปัตตานีนั้น  กว้างพอที่จะขจัดความร้อนลงได้บ้าง  หนุ่มสาวสองคนได้มาพบกันที่นั่น  ฝ่ายชายดึงภาพถ่ายขนาดโปสการ์ดออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้านซ้าย  แล้วสลักลงไปหลังภาพด้วยประโยคที่ส่อถึงอารมณ์ฝันของเจ้าของอย่างเต็มที่
          "สายจ๋า,  ขณะนี้คุณอยู่ที่ไหน  สัญชัยกำลังเพรียกหาคุณอยู่"
          เขาส่งภาพนั้นให้เธอ  สีหน้าหญิงสาวงวยงง  รับภาพนั้นมาดูด้านหน้าแล้วพลิกดูด้านหลัง  ดวงตาเบิกกว้าง  ถามด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
          "ตายจริง  สัญชัย,  ทำไมจึงเขียนอย่างนี้เล่าคะ ?"
          เขาหัวเราะบ้าง  แต่เสียงปร่า-เขิน  จ้องหน้าสายทิพย์เหมือนจะพิมพ์ภาพนั้นไว้ในดวงใจ
          "เพื่อความสัมพันธ์อันแนบแน่นของเรา  และเพื่อการจากที่อาจยาวนานกว่าเราจะได้มาพบกันอีก  หวังว่าข้อความข้างหลังภาพนี้พอจะเตือนสายได้บ้าง"

สัญญาดั่งเสียงลม

          ใบไม้สีน้ำตาลถูกลมเป่าปลิดขั้วจากต้นซึ่งขึ้นอยู่บริเวณนั้นให้ปลิวร่วงลงมาใกล้ ๆ กับที่คนทั้งสองยืนอยู่  สัญชัยก้มลงมองใบไม้ด้วยหัวใจสั่นไหว  ก่อนจะกล่าวเสียงล้าอ่อนแรง
          "ผมลาราชการมาเพื่อพักผ่อน  รักษาตัว  อีกสอง-สามวันก็จะครบกำหนด  ต้องรีบกลับกรุงเทพ  งานที่นั่นกำลังรออยู่"
          ใบหน้าหญิงสาวสลดวูบ  เสียงหลุดลอดมาเหมือนไม่คาดฝันกับเรื่องราวที่รับรู้
          "หรือคะ"  ใจหายวูบ  อดถามมิได้  "แล้วสัญชัยจะกลับมาที่นี่อีกไหม"
          "กลับมาซีครับ"  เขารีบตอบ  "ต้องกลับมาแน่นอน  หัวใจผมอยู่ที่นี่"
          สายตาที่จ้องมองหญิงสาวเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง  สายทิพย์ไม่กล้าสบตาเขาให้เนิ่นนาน  แสร้งมองไปทางนกเล็ก ๆ สองตัวที่คลอเคล้ากันอยู่บนกิ่งไม้ใกล้ ๆ นั้น
          "จะกลับมาเมื่อไหร่คะ ?"  ถามอีกครั้งเหมือนจะคาดคั้น
          สัญชัยลังเล  เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ยากแก่การตัดสินใจ  แต่ในที่สุดก็ให้สัญญา
          "ก่อนสิบสามเมษายน  ผมจะกลับมาเล่นสงกรานต์กับสายที่นี่"  เขาเอื้อมมือไปจับปลายนิ้วของเธอ  บีบเบา ๆ
          "คอยผมนะ"  ตอกย้ำอย่างอาวรณ์
หัวใจสายทิพย์สั่นไหว  หลุดปากออกมาแผ่วเบา
"ค่ะ  สายจะคอย" 



ฝากไว้ด้วย...หัวใจดวงนี้

          ต่างนิ่งเงียบกันไปชั่วขณะ  ได้ยินแม้แต่เสียงลมที่พัดวู่หวิว  นกเล็ก ๆ ระเริงร้องอยู่ในละเมาะไม้ใกล้ ๆ นั้น  ไกลออกไป – บ้านของสายทิพย์ยืนตระหง่านสงบอยู่ท่ามกลางดงมะพร้าว  หลังคาสังกะสีสะท้อนแสงจนนัยน์ตาพร่าพราย
          สัญชัยลดสายตาลงจากสิ่งเหล่านั้น  และเป็นขณะเดียวกับที่หญิงสาวเงยหน้าขึ้น  ตาต่อตาจึงสบกัน  แล้วเขาก็ได้เห็นรอยยิ้มที่บอกถึงความรู้สึกจากส่วนลึกของหัวใจเธอ  สายทิพย์บอกเขาด้วยสำเนียงค่อนข้างเบา
          "สัญชัย  คอยสายอยู่ที่นี่สักครู่นะคะ"  เห็นสัญชัยจ้องมองสงสัย  เธอรีบบอกเหตุผล  "สายจะกลับไปที่บ้าน  ครู่เดียวเท่านั้นค่ะ  แล้วสายจะกลับมาหาสัญชัย"
          "ไปทำไม ?"
          "ธุระบางอย่าง  รอนะคะ  สายไปล่ะ"
          ผละออกไปอย่างรวดเร็ว
          สัญชัยมองตามหลังร่างโปร่งประเปรียวนั้นไปจนลับตา

          มีอะไรหลายอย่างที่น่ารักและมารวมอยู่ในตัวของเพื่อนสาวตาคมดำขลับคนนี้  ยามใดได้พบ – ใกล้ชิดกับเธอ  เขาไม่อยากนึกถึงอดีตอันมีแต่ความเจ็บปวดรวดร้าวและทุกข์ทรมาน  ไม่อยากคิดถึงอนาคตซึ่งมีแต่ความมืดมิดเหมือนถูกกักขังอยู่ในห้องทึบ   สัญชัยอยากมีแต่ปัจจุบันอันเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขสดชื่นเพราะมีสายทิพย์อยู่ใกล้ ๆ
          เขาถอนหายใจ  ทรุดตัวลงนั่งที่โคนมะพร้าว  คอยสายทิพย์ด้วยหัวใจว้าวุ่นสับสน
          สิบนาทีผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า  สายทิพย์จึงกลับมาพร้อมภาพถ่ายขนาดโปสการ์ดใบหนึ่ง
          มือซึ่งถือภาพถ่ายและปากกาสั่นระริก  เอ่ยถามสัญชัยด้วยเสียงเหนื่อยหอบ  ค่อนข้างประหม่า
          "ภาพถ่ายสายเอง  จะมอบให้สัญชัยเป็นที่ระลึก  แต่เขียนสลักข้อความว่าอย่างไรดีคะ"
          สัญชัยมองใบหน้าสีชมพูเปล่งปลั่งเพราะแรงฉีดของโลหิต  อย่างตื่นตลึง  ตอบเสียงเบา
          "เขียนตามที่หัวใจของสายอยากจะบอก"
          เธอก้มหน้า  ใจเต้นระทึก  เม้มริมฝีปากนิ่งงันอยู่ครู่ใหญ่  ในที่สุดก็ตัดสินใจสลักอักษรลงหลังภาพด้วยลายมือเรียบง่ายสวยงาม
          "แด่สัญชัย  มิตรใหม่ที่สายพอใจที่สุดค่ะ"
          เพียงสายทิพย์ยื่นภาพนั้นให้เขา  สัญชัยรีบรับเอามาทาบที่หน้าอกเบื้องซ้ายซึ่งหัวใจกำลังไหวระริก  พร้อมกล่าวช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำจากส่วนลึกของหัวใจ
          "...แม้เพียงภาพซาบซึ้งตรึงใจแล้ว
          ถึงดวงแก้วแววฟ้าค่านับแสน
          มาขอแลกแปลกปลอมไม่ยอมแทน
          จะหวงแหนภาพสายจวบวายปราณ"

          สายทิพย์สีหน้าแดงระเรื่อ  หลบสายตา  สะเทิ้นเอียงอาย
          "อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลย"  บอกพร้อมรอยยิ้มประทับใจ
          "ผมจะรักษาภาพของสายและคำพูดของผมเอาไว้ชั่วชีวิต"
          "ขอบคุณค่ะ  สายก็จะรักษาภาพถ่ายของสัญชัยไว้ให้ดีที่สุดเช่นเดียวกัน"  สัญญาด้วยเสียงสั่นพลิ้ว
          "เท่านั้นหรือ ?"  เขาซัก  นัยน์ตาเป็นประกาย
          "จะไม่ลืมสัญชัย  มิตรใหม่ที่น่ารักของสายด้วยค่ะ"  รอยยิ้มที่ระบายไปทั่วใบหน้า  ดวงตาที่ใสซื่อ  สร้างความประทับใจให้สัญชัยสุดพรรณนา
          "หมดแค่นี้เอง ?"  พยายามจะหยั่งลึกลงไปอีก
          "ค่ะ ... "  เป็นเสียงที่เบา  บาง  และจางหายไปกับสายลม
          "แล้วหัวใจของผมที่ฝากเอาไว้ ..."  น้ำเสียงของสัญชัยเกือบมิได้แตกต่างไปจากน้ำเสียงของสายทิพย์สักเท่าใดนัก  หลุดปากออกไปแล้ว  เขาระลึกได้  สะดุ้ง  ใจหายวาบ  เมื่อรู้สึกตัวว่าได้ทำสิ่งที่ไม่บังควร
          ความเงียบแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณนั้น
          สัญชัยอดมีความหวังมิได้ว่า  สิ่งที่กำลังคุกคามชีวิตเขาอยู่นั้นจะต้องพ่ายแพ้แก่เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่โลกกำลังก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่มีอะไรหยุดยั้งได้  เขาจึงตัดสินใจทำลายความเงียบ
          "หัวใจของผม  ผมมอบให้สายเพียงคนเดียว  ไม่คิดจะเอาคืนมาอีก"  เขาบอกหนักแน่น  เอื้อมมือไปจับมือหญิงสาวมากุมไว้  ทะนุถนอม  "สายกรุณาเก็บมันไว้ให้ดี  ช่วยทะนุถนอมมันด้วยนะ"
          ต่างเงียบเสียงกันไปอีกครั้ง  ทั้ง ๆ ที่หัวใจกำลังเต้นระทึก  โดยเฉพาะสัญชัย  หัวใจเต้นแรงจนน่ากลัว  เขาบีบมือเธอเบา ๆ   สายทิพย์โลหิตฉีดแรง  ร้อนวูบวาบไปทั่วร่าง  เธอค่อย ๆ แกะมือของเขาออก
          "สายจะไม่จากสัญชัยไปที่ไหนอีกค่ะ"  แม้จะไม่ดังนักแต่สัญชัยได้ยินเสียงนั้นชัดเจน  เขาค่อย ๆ ปล่อยให้มือเธอมีอิสระอย่างแสนเสียดาย
          "ขอโทษ  ลืมตัว..."
          "ค่ะ  ลืมตัว ... "  รอยยิ้มที่ระบายทั่วใบหน้าเนียนงามทำให้สัญชัยมองซึ้ง  มีความสุขบอกไม่ถูก
          ความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณนั้นอีกครั้ง  ได้ยินนกเล็ก ๆ ส่งเสียงร้องจิ๊บ ๆ อยู่ที่ชายป่า  สายลมโชยพัดเป็นครั้งคราว  เหมือนจะช่วยหอบเอาความคิดของสองหนุ่มสาวไปรวมกันไว้ ณ ที่เดียวกัน

          สัญชัยมองสายทิพย์ด้วยสายตาเปี่ยมประกายแห่งความรัก  ต่างยิ้มให้กันอย่างเก้อเขิน
          เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้  สีหน้าของสายทิพย์สลดวูบ  พร้อมเสียงพึมพำอ่อนระโหยจนผู้ฟังรู้สึกใจหายตามไปด้วย
          "พรุ่งนี้  สัญชัยต้องเดินทางกลับกรุงเทพ"
          "ครับ  หัวใจผมที่ฝากไว้สายช่วยรักษาให้ดีนะ  เดือนเมษายนผมจะกลับมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง"
          "ค่ะ  สายจะคอย"  สัญญาหนักแน่น  "สัญชัยอย่าลืมสายนะคะ"
         ก่อนจากกันวันนั้น  เขาไม่ลืมกำชับสายทิพย์ด้วยบทกลอนสั้น ๆ ว่า 
                       ...  “รูปและสาส์นวารแนบแอบใต้หมอน 
                       ยามจะนอน นอนด้วย ช่วยกล่อมสาย 
                       ยามหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวอยู่เดียวดาย 
                       ต่างเรือนกายใต้หมอนหนุนเพื่อนคุณมี”
        “คอยผมนะ ที่รัก”  เขากำชับอีกครั้ง  แล้วหันหลังเดินจากที่นั้นไป
         

จนกว่าจะพบกันอีก
          ขบวนรถด่วน สุไหงโก – ลค...กรุงเทพ  ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากสถานีโคกโพธิ์(ปัตตานี)อย่างเชื่องช้า  สายทิพย์ยืนโบกผ้าเช็ดหน้าจนกระทั่งใบหน้าของสัญชัยค่อย ๆ เลือนหายจากสายตา ... ไม่ช้านัก...โบกี้สุดท้ายก็ไม่สามารถมองเห็นได้อีก  คงทิ้งไว้แต่รางเหล็กคู่ขนานยาวเหยียดไปแสนไกลเช่นนั้นดุจวันที่แล้ว ๆ มา
          สายทิพย์มองเหมือนจะตั้งปัญหากับหัวใจเธอ  แต่ก็ไม่อยากคิดอะไรให้มากไปกว่า  เธอเริ่มต้นคอยสัญชัยแล้วตั้งแต่วินาทีแรกที่รถไฟเคลื่อนตัวออกจากสถานีโคกโพธิ์(ปัตตานี)นั่นเอง



คืนหัวใจ
          สายทิพย์พยายามเร่งให้คืนวันผ่านไปโดยรวดเร็ว
          สิ้นเดือนมีนาคม  เธอลุกขึ้นตั้งแต่ตอนเช้าตรู่เพื่อจะดึงปฏิทินแผ่นสุดท้ายซึ่งพิมพ์ตัวเลขบอกเป็นเครื่องหมายเอาไว้ว่า วันที่ ๓๑ มีนาคมนั้นให้หลุดออกไป  ขณะเดียวกันก็มองตัวเลขของเดือนใหม่ด้วยจิตใจระทึก
          วันที่ ๑ เมษายน – เออ  ช่างเป็นวันเริ่มต้นของเดือนที่มีความหมายต่อเธอกระไรเช่นนั้น
          สัญชัยจะกลับมา !
          เธอพึมพัมพูดกับตัวเอง
          ตลอดทั้งวัน  สายทิพย์อดมิได้ที่จะสำรวจดูความบกพร่องของบ้านเรือน   ซึ่งแม้จะได้จัดไว้อย่างดีแล้วก็ตาม  เธอไม่ต้องการให้เขามาเห็นหรือพบกับสิ่งที่ไม่สดชื่นในวันแรกของการได้มาเจอกัน  พร้อมกันนั้นก็คอยเงี่ยหูฟังเสียงเครื่องยนต์ของรถประจำทางที่จะมาหยุดส่งคนโดยสารที่หน้าบ้านของเธอด้วย
          สัญชัยมาตามสัญญา  แต่ ...
          เกือบจะไม่เหลือริ้วรอยใดไว้ให้เห็นว่าเขาเป็นสัญชัยคนเดิม
          เพียงสบภาพของเขาเท่านั้น  สายทิพย์ตกตะลึง  พอได้สติ  เธอผวาเข้าไปกอดเขาแนบแน่น  มิไยว่าเบื้องหลังของสัญชัยจะมีผู้หญิงร่างสะคราญคนหนึ่งก้าวตามมา
          สัญชัยเบือนหน้าออกไปทางหนึ่ง  พยายามผลักดันสายทิพย์ให้ถอยห่างออกไป  แต่สายทิพย์กำลังลืมตัว  กอดแนบแน่นจนสัญชัยมีอาการเหนื่อยหอบ  ออกคำสั่งด้วยเสียงแหบเครือ
          "เพื่อนรัก  ออกห่างจากตัวผมเดี๋ยวนี้"
          "สัญชัย"  หลุดเสียงออกมาอย่างงุนงง  แผ่วเบา
          สายทิพย์เงยหน้ามองดูเขาแล้วผละออกไปอย่างไม่รู้สาเหตุ
          "เราไม่สามารถเป็นของกันและกันได้อีก"   สัญชัยกระเส่าเสียงสั่นพร่า  ออกเดินไปยังอีกมุมหนึ่งของห้อง  นั่งลงบนเก้าอี้นวมโดยอาการโผเผ  ใบหน้าเผือดซีด
          "สัญชัย ... "  สายทิพย์เอ่ยเรียกอีกครั้ง  น้ำตาไหลพราก
          สัญชัยฝืนยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่ง  สายตาเหลือบมองปฏิทิน
          "วันที่หนึ่งเมษายน  ผมมาตามสัญญา  แต่... "  เสียงเขาขาดหายไปอย่างอิดโรย  แสดงความเหน็ดเหนื่อยออกมาให้เห็น  "ที่รัก  เราไม่ควรพบกันเลย"
          ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วยิ่งเผือดลงไปอีก
          "ผมไม่เคยคิดว่าเราจะมาพบเพื่อที่จะพรากไปจากกัน"  สายตาเขาปรายไปทางหญิงสาวที่ติดตามมา  พลางพูดกับสายทิพย์ด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน
          "สายไม่ต้องคอยผม  เราหมดโอกาสที่จะได้แต่งงานกันแล้ว"
          "สัญชัย !"  สายทิพย์อุทาน  มือทาบอก  "หมายความว่า ... "
          "ครับ ... "  สัญชัยรับคำด้วยความปวดร้าวใจ  กรามบดเข้าหากันแน่น  เขาต้องใช้ความอดทนเหลือที่จะกล่าว  เมื่อพูดว่า  "ผมมาเพื่อจะคืนหัวใจ ... "
          สายทิพย์ปล่อยโฮออกมา  สัญชัยเองเกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  เขาเบือนหน้าออกไปอีกทาง  พูดขาดเป็นห้วง ๆ 
          "ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมนี้คือน้องสาวร่วมสายโลหิตของผมเอง  เธอมาเป็นเพื่อนเดินทาง  คอยดูแลผม  เพราะผมเป็นมะเร็งในตับ  ระยะสุดท้าย..." 
          ปลายเสียงของเขาแผ่วเบาและขาดหายไปเพียงเท่านี้



...................................................